แล้วเราก็เดินย้อนกลับทางเก่า : เรื่องรักเหงาๆ ของสจ๊วตเฒ่าและแอร์สาว
ผมมาถึงศูนย์ลูกเรือก่อนเวลา จึงมีเวลาว่างทำธุระส่วนตัวหลายอย่าง รวมทั้งจัดการเคลียร์เอกสารมากมายที่หมกเป็นขยะอยู่ใน Personal Box แปลกใจที่มีหนังสือ “ปรัชญาชีวิต” ของคาริล ยิบรานซุกรวมอยู่ในนั้น ผมหยิบขึ้นมาพลิกดู และพบกระดาษโน้ตสีชมพูสอดไว้ที่หน้าแรก
“ซื้อมาฝากคนแก่จ้ะ พลิกไปอ่านหน้า 82 ก่อนเลยนะ” แม้ไม่ได้ลงชื่อ แต่ผมจำลายมือเธอได้
“และชายหนุ่มคนหนึ่งพูดว่า ได้โปรดกล่าวถึงมิตรภาพ และท่านตอบว่า มิตรคือคำตอบต่อความต้องการของเธอ เขาเป็นเสมือนท้องทุ่ง ที่เธอหว่านด้วยความรัก และเก็บเกี่ยวด้วยความขอบคุณ และเขาเป็นดุจโต๊ะอาหารและร่มไม้ของเธอ ด้วยเหตุว่า เธอมาสู่เขาด้วยความหิวโหย และเธอใฝ่หาเขาเพื่อความสงบใจ และขออย่าได้มีความมุ่งหมายใดๆ ในมิตรภาพเลย นอกจากเพื่อขยายดวงวิญญาณให้กว้างขวางลึกซึ้งขึ้น เพราะความรักที่มุ่งหวังเพื่อสิ่งใดอื่น นอกจากเพียงเพื่อเปิดเผยความล้ำลึกของตนเองนั้นมิใช่ความรัก แต่เป็นร่างแหที่ถูกเหวี่ยงทอดออก และจะจับเอาไว้ได้ก็แต่สิ่งที่ไร้คุณค่าเท่านั้น” *
ไม่ต้องตีความอันใด ก็พอจะจับใจความได้ว่า เธอคงต้องการส่งสารบางอย่างให้ผมในนามของ “มิตรภาพ” มิใช่ “ความรัก” อดเสียใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าเธอยังไม่ “รู้จัก” ผมดีพอ เธอคงลืมไปว่าผมไม่มีความรักเหลือเฟือพอจะแจกจ่ายให้ใครอย่างที่เธอคิด และผมก็มิใช่ผู้ชายประเภท “หล่อเลือกได้” ที่สาวหน้าไหนจะติดใจได้ง่ายๆ
แต่หากการกระทำของผมในอดีตจะทำให้เธอคิดไปอย่างนั้น ผมก็เต็มใจเอ่ยคำขอโทษ ผมอายที่จะบอกว่าเหงา แต่ผมก็ยอมรับกับตัวเองว่าผมมีความสุขกับชีวิตโดดเดี่ยว เรื่องราวระหว่างเราในอดีตไม่มีอะไรมากไปกว่าความทรงจำแสนงามที่ยากจะลืม เธออยากลืม ผมเองก็เช่นกัน
แต่มันก็เหมือนตะกอนนอนก้น ปั่นป่วนในความรู้สึกคราใดมันก็กลับมาอีกในห้วงคำนึง นั่นทำให้เราทั้งคู่เจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เครื่องบินแอร์บัส 340-500 ร่อนลงที่สนามบินโคลเทน (Kloten) นครซูริค ในเช้าของวันที่ดวงอาทิตย์คงแอบงีบหลับอยู่ที่ไหนซักแห่ง ท้องฟ้าจึงขมุกขมัวคล้ายกับเวลาถูกหยุดไว้ สรรพสิ่งรอบตัวยังเงียบงัน เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรทำหน้าเบื่อโลกเหมือนถูกบังคับให้ลุกขึ้นจากเตียงมาทำงาน เมืองทั้งเมืองยังไม่ตื่น!!
บรรยากาศดูซึมเซาด้วยถูกปกคลุมด้วยหมอกบางสีเทา นั่นยิ่งทำให้คนขี้เหงาอย่างผมรู้สึกหดหู่หนักเข้าไปอีก
ผมคิดถึงฤดูใบไม้ผลิที่ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆ วันที่ทุ่งนาและภูเขาเขียวขจีไปด้วยต้นหญ้าและดอกไม้ป่าที่แข่งกันออกดอกสีสวยต้อนรับแสงแดดอุ่นที่มันไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว
ผมเดินฝ่าลมหนาวลากกระเป๋าไปยังรถบัสรับส่งลูกเรือ และสิ่งเหลือเชื่อที่มักเกิดขึ้นได้เสมอ ๆ ในชีวิตก็เกิดขึ้นเมื่อผมเปิดโทรศัพท์มือถือ มัน search หาสัญญาณอยู่สักพักก็มีเสียงเตือนการมาถึงของ sms “ถูกเรียกแสตนด์บาย เจอกันที่ซูริค” จากเธอนั่นแหละ แว่บแรกผมดีใจ แต่ไม่แน่ใจว่าจะทำตัวยังไงหากมีเธออยู่ใกล้ ๆ พูดกันตรง ๆ เราสองแยกทางกันมานานแล้ว และผมเชื่อว่าไม่มีอะไรค้างคาใจถึงกับขั้นต้อง “เคลียร์” กันอีก แต่ในวันที่อารมณ์วูบไหว ผมจะเชื่อใจอะไรได้
ครึ่งวันหนึ่งคืนผ่านไปไวเหมือนโกหก เช้าวันรุ่งขึ้นผมแหกขี้ตาลงมาพบเธอที่ล๊อบบี้ ลูกเรือร่วมไฟลท์ของเธอดูจะรู้งานจึงปล่อยให้เราอยู่กันสองต่อสอง …ผมเตรียมคำพูดไว้มากมาย แต่เหมือนเราทั้งคู่จะเป็นใบ้ไปชั่วขณะ
“สบายดีไม๊” ผมทักทายเธอเชย ๆ แบบนี้แหละ
“ดีใจที่ได้เจอ ขอบคุณสำหรับหนังสือ” โอ๊ย พูดไปได้ไง แม่งโคตรเชย คิดอะไรเท่ ๆ เก๋ ๆ กว่านี้ไม่เป็นหรือไง เสียชื่อสจ๊วตเฒ่าจริง ๆ
ช่วยเธอลากกระเป๋าใหญ่ขึ้นไปเก็บ แล้วเดินกลับห้องปล่อยให้เธอทำธุระส่วนตัวตามลำพัง (ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงนั่งเฝ้าดูอยู่ด้วย) ประเดี๋ยวเดียวเธอก็โทรมาชวนผมไปเดินเล่นในเมือง
…วันที่ผมเคยเดินกุมมืออุ่นของเธอริมทะเลสาบซูริคยังแจ่มชัดในความรู้สึกเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
เรามาถึงสถานีรถไฟซูริคใน 15 นาทีต่อมา และพากันเดินเลียบแม่น้ำลิมมัทไปถึงโบสถ์เฟรามึนสเตอร์อันสวยงามโอ่อ่า ผมชี้ชวนให้เธอดูงานประดับกระจกสีฝีมือออกัสโต กีโคเมตติ (Augusto Giacometti)
แต่ส่วนที่เด่นที่สุดหนีไม่พ้นหน้าปัดนาฬิกาอันมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่าแปดเมตรซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป บนเนินสูงใกล้ ๆ คือลินเดนฮอฟ ซึ่งในอดีตคือที่ตั้งของป้อมโรมัน ตรงนี้มีชัยภูมิที่ดี มองเห็นเมืองซูริคได้รอบทิศ ถ้าจำไม่ผิดผมเคยขโมยหอมแก้มเธอซะหนึ่งทีแถว ๆ นี้แหละ
ผมลงทุนจ่ายเงิน 2 ฟรังซ์เพื่อพาเธอเดินขึ้นสู่ยอดโดมโบสถ์กรอสมึนสเตอร์ บันไดขึ้นสู่ยอดโดมเล็ก แคบและชัน เนื้อตัวเบียดกันบ้างนิดหน่อยผมก็มีความสุขล้นเหลือ ต้องบรรยายอะไรอีกเหรอ?
ผมดีใจที่เห็นเธอมีความสุข ความรู้สึกดี ๆ ในวันเก่าเหมือนจะกลับมาอยู่ใกล้ ๆ
ผมอยากหาร้านกาแฟกลางแจ้งเก๋ ๆ ซักร้านที่ดูเข้าท่า เลยเดินย้อนไปบริเวณจัตุรัสแบลวูแต่ก็หาร้านที่ถูกใจเธอไม่ได้ (ไม่ได้เจอกันนานเรื่องมากขึ้นแฮะ) จนต้องย้อนกลับทางเก่า ข้ามสะพาน Rathaus เดินเข้าตรอกซอยแคบ ๆ ในที่สุดก็ได้ที่นั่งในร้านอาหารน่ารักแห่งหนึ่งไม่ห่างจากโบสถ์เฟรามึนสเตอร์เท่าไหร่นัก
ผ่านไปหลายชั่วโมง ไม่น่าเชื่อว่าผมและเธอจะมีเรื่องเล่าสู่กันฟังมากมาย ครั้งหนึ่งระหว่างคำสนทนา ผมแอบมองเข้าไปในดวงตาของเธอ และพบว่ามีรอยยิ้มวับวาวอยู่ในนั้น
แล้วเราก็ย้อนเดินย่ำกลับทางเก่า…. ถึงโรงแรมก็แยกทาง …ห้องใครห้องมัน จนคืนหนึ่งราวหนึ่งอาทิตย์ต่อมา ผมมาถึงศูนย์ลูกเรือก่อนเวลา จึงมีเวลาว่างทำธุระส่วนตัวหลายอย่าง รวมทั้งจัดการเคลียร์เอกสารมากมายที่หมกเป็นขยะอยู่ใน Personal Box มีการ์ดแต่งงานสีชมพูวางสงบนิ่งอยู่ในนั้น ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร ผมก็ได้การ์ดเชิญไปงานใครต่อใครอยู่บ่อย ๆ
ผมหยิบขึ้นมาพลิกดูและพบกระดาษโน้ตสอดอยู่ในซอง มันเป็นบทกวีเก่า ๆ ที่ผมชื่นชอบตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย
“อยากจะเพียงผูกพัน แต่สำคัญที่หัวใจ
เธอรักฉันแค่ไหน มากกว่าใครหรือไม่เลย
ไม่อยากจะผูกมัด ฉันจะหัดทำเฉยๆ
ถ้าเพียงเธอจะเคย มาเอื้อนเอ่ยให้มั่นใจ” **
แม้ไม่ได้ลงชื่อ แต่ผมจำลายมือเธอได้…
*แปลโดยระวี ภาวิไล
** โดยลูกน้ำ