โดย djsoloabs » วันศุกร์ ธ.ค. 24, 2010 9:54 pm
สุดท้ายซาเต็บเลยแบ่งสเต๊กเนื้อของตัวเองให้เจ้านายกิน แล้วเอา “อึ” ในจานเจ้านายไปกินเป็นอาหารเย็นแทน
นั่งพูดคุยกันได้สักพัก ก็ถึงเวลาที่ต้องลาจาก มาคราวนี้เวลาเจอกันช่างน้อยเหลือเกิน ทั้งสามก็ยังอยากจะนั่งคุยเล่นกันต่อนะ ก็นานๆจะได้เจอกันสักที เฟย์เองก็เป็นเพื่อนใหม่ที่น่ารักคนหนึ่งสำหรับเจ้านาย แต่เนื่องจากรถโรงแรมของเจ้านายหมดรอบเที่ยงคืน จึงต้องรีบกลับไปก่อนที่รอบรถจะหมด ซึ่งเวลาที่แยกย้ายก็เป็นเวลาสี่ทุ่มเสียแล้ว จึงนับว่าเสี่ยงพอสมควรที่เจ้านายจะพลาดรถ
ทั้งสามคนไปส่งเจ้านายที่รถไฟใต้ดิน โชคดีที่เจ้านายไปทางเดียวกันกับเฟย์ เฟย์จึงอาสานำทางเจ้านายไปต่อยังสายรถไฟที่จะกลับโรงแรม แต่ก่อนกลับขอสองหนุ่มแอบทำอะไรให้เจ้านายตกใจเล่นนิดหน่อย อยู่ดีๆก็มาหอมแก้มคนละฟอด ถือว่าเป็นธรรมเนียมฝรั่งเวลาบอกลาเพื่อน (แต่เจ้านายก็แอบตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน หน้าเหวอไปทีเดียว) ทั้งซาเต็บและเดวิดก็คงรู้ดีว่าตามธรรมเนียมไทย เรื่องแบบนี้ผู้หญิงเขาเขินนะยะ เพราะเห็นหัวเราะชอบใจใหญ่พอเห็นเจ้านายเราอายหน้าแดง แต่ขอแกล้งเสียหน่อยว่างั้นเถอะ
สี่ทุ่มครึ่งแล้ว มันอันตรายมากสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียว เจ้านายยังใจเย็นและคิดว่าไม่น่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เธอคิดผิด!
ไม่ว่าที่ไหน ในยามวิกาล ก็เป็นที่อันตรายได้เสมอสำหรับลูกผู้หญิง
เริ่มตั้งแต่นั่งรถไฟกลับไปที่สนามบิน เธอถามชายอินเดียคนหนึ่งซึ่งดูเป็นผู้ใหญ่ใจดี ว่าจะต้องเปลี่ยนสายอีกไหม แม้ตอนที่แยกจากเฟย์ เฟย์จะย้ำแล้วว่าไปจนสุดสาย แต่เจ้านายก็ยังต้องการความมั่นใจอีกครั้งว่าเธอไม่ได้นั่งสายผิด
ชายอินเดียคนนี้เริ่มถามว่าเธอมาทำอะไร และด้วยความไว้ใจคนง่ายเกินไป เจ้านายจึงเล่าไปหมดว่าเธอเป็นลูกเรือ มาที่นี่กี่วัน
สุดท้ายเมื่อชายอินเดียผู้นั้นจะต้องลง เขากลับบอกข้อมูลที่ผิดแปลกไปจากตอนแรกที่คุยกัน เขาบอกให้เจ้านายลงที่สถานีเดียวกับเขาเพื่อเปลี่ยนรถไฟ ทั้งที่ตอนแรกบอกเองว่าไม่ต้องเปลี่ยนสาย เท่านั้นไม่พอ ยังพูดเหมือนใจดีว่าคราวหน้าถ้าบินมาปารีสอีกก็ให้มาพักที่บ้านเขาได้ เขามีบ้านใหญ่โต เจ้านายเริ่มรู้สึกไม่ดี
เมื่อรถไฟจอดที่สถานี ชายผู้นี้พยายามเรียกให้เธอตามเขาไป เจ้านายเองเริ่มไม่ไว้ใจเขาแล้วเช่นกัน จึงเดินไปถามหญิงสาวอีกคนหนึ่งว่าถ้าจะไปสนามบินจะต้องเปลี่ยนสายรถไฟหรือไม่ และคำตอบก็คือ ไม่ต้อง
ณ จุดนี้ ความสนุกและความรู้สึกดีๆต่อชาวปารีสเริ่มกลายเป็นความกลัวและหวาดระแวง เธอภาวนาแค่ขอให้ได้กลับถึงที่พักอย่างปลอดภัย
เมื่อถึงสุดสถานี เธอรีบลงจากรถไฟและเดินหาที่จอดรถของโรงแรม เธอเดินวนอยู่นาน จนได้เวลารถรอบสุดท้ายของโรงแรมออก และสุดท้าย เธอก็พลาดนั่งรถโรงแรมจนได้
แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้น เธอถามคนขับรถโรงแรมอื่นแทน ซึ่งคนเหล่านั่นก็พูดอังกฤษไม่รู้เรื่องเสียด้วย เรียกว่า อังกฤษคำ ฝรั่งเศสหลายคำ จนสุดท้ายตกลงกันว่าจะไปส่งที่ถนนใกล้ๆโรงแรมของเจ้านายเพราะเป็นทางผ่านพอดี เจ้านายจึงตัดสินใจขึ้นรถโรงแรมนั้น ซึ่งก็อีกแล้ว คนขับดูเป็นคุณลุงอารบิคใจดี
แต่เนื้อเรื่องก็ดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น ลุงพยายามชวนเธอมานั่งข้างเบาะคนขับ โดยอ้างว่าไม่ได้ยินคำถามที่เธอถาม เธอเองก็ปฎิเสธตลอดเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง และแล้ว ก็มาถึงวงเวียนที่ลุงแกว่าจะปล่อยให้เธอเดินต่อ วงเวียนที่ลุงบอกว่าเดินต่อไปโรงแรมที่เจ้านายพักได้
เรื่องมาถึงจุดที่ว่า เจ้านายโดนปล่อยอยู่ตรงพงหญ้ามืดๆเวลาเที่ยงคืน ซึ่งเป็นถนนที่ไม่มีคนเขาเดินกันในยามวิกาลเช่นนี้ แม้แต่ตอนกลางวันเองก็เถอะ ไม่มีคนเขาเดินกันแน่ๆ เพราะมันไม่มีฟุตบาทให้เดินเลย แถมทางไปโรงแรมก็อีกไกล วงเวียนที่เจ้านายคิดกับวงเวียนที่ลุงแกพูด มันคนละจุดกัน เจ้านายเธอคงมองโลกแง่ดีเกินไปจึงคิดว่าวงเวียนที่ลุงพูดถึงคือจุดที่อยู่หน้าโรงแรม ส่วนลุงแกก็คงมองโลกในแง่ดีเกินไปเช่นกันว่าเจ้านายจะแกร่งพอเดินทางระยะไกลได้
เจ้านายกลัวอย่างถึงที่สุด ไม่รู้ว่าจะมีใครออกมากฉุดกระชากลากเธอไปทำอะไรหรือเปล่า เวลานั้น ในใจมีแต่หน้าพ่อแม่โผล่ขึ้นมา แต่จะทำอะไรได้ในเมื่ออยู่กันคนละประเทศ คนละทวีป เธอจึงได้แต่ขอพรพระให้คุ้มครองเธอให้ปลอดภัย
เธอพยายามโบกรถเพื่อถามทาง แต่รถแต่ละคันได้แต่ชะลอมองเธอด้วยความแปลกใจ แล้วก็เร่งเครื่องผ่านไป สายตาคนในรถมองเธอเหมือนราวกับว่าเธอเป็นผี ไม่ก็ ทำอาชีพบริการยามค่ำคืน(แต่ฉันก็เข้าใจพวกเขานะ ผู้หญิงที่ไหนจะมาโบกรถตอนเที่ยงคืนข้างพงหญ้า)
มีรถหยุดเหมือนกัน หยุดทั้งที่เจ้านายไม่ได้โบก หยุดเพื่อชวนให้เธอขึ้นรถไปกับเขา เจ้านายรีบปฏิเสธ
ตอนนี้น้ำตาแทบจะไหลแล้ว เจ้านายใจเย็นๆไว้นะ รวบรวมสติก่อน
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป จะเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงกับเจ้านายหรือไม่ โปรดติดตาม....