
เที่ยวเมืองนิซวากับสามสาวและหนึ่งลุง
เรื่องและภาพโดย กำแหงหาญ
.....................................

โรงแรมที่พักของลูกเรือไทยอยู่บนหน้าผาสูง มีัทางเดินเล็กและแคบลัดเลาะไปดามโตรกผาและโขดหินไปยังชายหาดด้านล่าง ด้วยอยู่บนที่สูง เราจึงมองเห็นทิวทัศน์หาดคิวรัม (Qurum) ได้กว้างไกล ครั้งใดฟลุคๆ ได้ห้องพักฝั่งที่หันออกสู่ทะเล ผมมักตื่นมายืนจิบกาแฟชมพระอาทิตย์ขึ้นจากหลังภูเขาสีน้ำตาลด้านซ้าย และข้ามมาหล่นปุ๊ในอ่าวโอมานยามเย็นย่ำด้านขวา ในวันที่เหงาๆ อย่างที่เป็นอยู่นี้ มันก็ให้บรรยากาศโรแมนติกดีไม่หยอก
ผมมีกิจกรรมทำมากมายระหว่างอยู่ที่นี่ โชคดีที่มากับน้องลูกเรือที่รู้จักกันมาก่อน เวลาสามวันสามคืนจึงผ่านไปอย่างรวดเร็วพอคลายเหงาไปได้บ้าง เริ่มจากเช้าตรู่... พวกเธอมักชวนผมไปทานอาหารเช้า โอ้เอ้อยู่ในห้องอาหารจน บริกรหันมาค้อน นั่นล่ะแปลว่าถึงเวลาลุกจากโต๊ะกลับไปขี้ห้องใครห้องมันแล้ว
ช่วงเี่ที่ยง... หากไม่ติดรถ shuttle bus ของโรงแรมออกไปซื้อเสบียง (เช่นกับแกล้มและโซดา) ก็มักแยกย้ายไปทำกิจกรรมส่วนตัวที่ตัวเองชอบ บ่ายๆ เย็นๆ พวกเราจึงกลับมารวมตัวกันอีกครั้งใน Fitness Room ผมนิยมวิ่งเหยาะๆ บนสายพาน ยก weight ดึงโน่นดึงนี้เลียนแบบชาวบ้านไปตามเรื่อง จนรู้สึกล้าๆ ค่อยชวนกันไปนั่งเล่นที่ชายหาด นั่งดูพระอาทิตย์ตก รอจนเหงื่อแห้งจึงกลับขึ้นห้องชำระร่างกาย เตรียมตัวร่วมกิจกรรมสนุกสนานยามค่ำคืนต่อไป...
.....................................
ชีิวิตผมคงวนเวียนอยู่อย่างนั้นกระทั่งวันกลับ หากพี่ณรงค์ รักษาการนายสถานีมัสกัต (Muscat) ในขณะนั้นจะไม่บุกเข้ามาชวนผมและเพื่อนๆ ลูกเรือถึงใน Crew Lounge แกยกแม่น้ำทั้งห้าโน้มน้าวให้พวกเราออกไปเที่ยวนอกเมืองเปลี่ยนบรรยากาศ ความจริงแกไม่ต้องพยายามขนาดนั้นเราก็พร้อมจะไป ก็ยกแก้วจนเบื่อบรรยากาศในห้องจะแย่อยู่แล้ว
.....................................

โฉมหน้า "ฮาตรึม" โซเฟอร์ของเรา
พีุ่ณรงค์กลับมาอีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้นพร้อม Toyota Prada 4WD สีขาวใหม่เอี่ยม หลังรถมีขนมขบเคี้ยวหลายถุงกะเอาใจสาวๆ เต็มที่ ที่วางเท้าของที่นั่งส่วนหลังมีถังน้ำแข็งสีฟ้าใบใหญ่ ผมเปิดดูถึงกับตะลึงเมื่อเห็นเบียร์กระป๋องเขียวแช่อยู่ใต้น้ำแข็งจนเย็นเฉียบ นึกในใจว่าถ้าดื่มหมดถังอาจถึงตายหรือไม่ก็คางเหลือง
...ก่อนเดินทาง ขอขานชื่อผู้ร่วมทางไว้ตรงนี้กันลืม เริ่มจากพี่ณรงค์หัวหน้าทัวร์ ซาลิมและฮาติม เจ้าหน้าที่สายการบินของเรา (เราแอบเรียกว่าสะหริ่มและฮาตรึม อิิอิ) ผมสจ๊วตเฒ่า และน้องแอร์สามคนคือปราง เหมียวและกบ สาวแต่ละคนพกอุปกรณ์ส่วนตัวมาเพียบ โดยเฉพาะหมวกและครีมกันแดดที่พอกกันมาจนหน้าขาววอก

เราแวะร้านอาหารแดกด่วนชานเมืองมัสกัต ฮาตรึมจัดแจงสั่ง ดาล แผ่นแป้งกลมคล้ายโรตี และ ชวามา (shwarma) แซนวิชไส้ไก่สับสไตล์แขกมาให้เรากินรองท้อง สาวๆ กระซิบบอกผมว่าไม่รองท้องได้ไม๊พี่กินกันจริงๆ เหอะหนูหิว! ว่าแล้วก็พยักพเยิดให้ผมสั่งข้าวหมกไก่และหมกแกะมาอย่างละจาน (จริงๆ สั่งเป็นจาน หากแต่มันมาเป็นถาด!)

แถวบ้านเรียกกินกันทั้งถาด
...อย่านึกว่าจะเหลือ พวกเราล้อมวงกินกันอย่างเอร็ดอร่อยแป๊บเดียวก็เกลี้ยง ฮาตรึมถึงกับอุทานเป็นภาษาอาหรับแปลได้ความว่าสาวไทยตัวน้อยๆ พุงเล็กๆ ทำไมถึงกินอะไรกันได้เยอะแยะขนาดนี้!!
.....................................

ช่วงแรกของการเดินทางสู่เืมืองนิซวา (Nizwa) ผ่านย่านชุมชนไปแล้วเหมือนเข้าสู่แดนสนธยา สองข้างทางส่วนใหญ่เป็นบ้านก่ออิฐหลังเล็กๆ ทาสีขาว ลึกเ้ข้าไปจากแนวถนนมีแต่ทรายกับทราย จะหาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนหรืออูฐสักตัวก็หาไม่ ทิวเทือกเขาด้านหลังไร้ต้นไม้ใหญ่ ที่เห็นก็แค่พุ่มไม้เล็กๆ แคระแกร็นดูแล้วห่อเ*่ยว แต่ไม่ต้องสงสารเค้าหรอก ที่เห็นท่อปล่อยเปลวไฟพวยพุ่งอยู่ไกลๆ นั่นน่ะ ...มันบ่อน้ำมันทั้งนั้น

ก่อนเข้าเมืองนิซวา เราแวะหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ปลูกอินทผาลัมเป็นล่ำเป็นสัน เป็นครั้งแรกที่ผมได้กินผลอินทผาลัมสดๆ ปลิดจากต้น รสชาติหวานอร่อย ชุ่มคอชื่นใจกว่าที่เคยกินมาเป็นไหนๆ ฮาตรึมชักชวนให้ผมดูรางน้ำใสไหลแรงที่พาดผ่านกลางสวนซึ่งเรียกว่า อาฟลัจ (Aflaj) ระบบชลประทานจากภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวโอมาน ที่ได้รับการยกย่องจากองค์การ UNESCO ให้เป็นมรดกโลก ธรรมดาซะที่ไหน...
.....................................

ภายใน Nizwa Fort
เรามาถึงเมืองนิซวาซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของโอมานในหนึ่งชั่วโมงต่อมา เมืองนิซวาเป็นศูนย์กลางการค้าและศูนย์กลางการศึกษา มีมหาวิทยาลัยและมัสยิดขนาดใหญ่หลายแห่ง โดยเฉพาะป้อมนิซวา (Nizwa Fort) ที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1650 ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่สุดของเมืองนิซวาเลยทีเดียว


สาวๆ เดินชมความงามของป้อมนิซวาไม่ถึง 10 นาที (ไม่ทันคุ้มค่าตั๋ว) ก็ทนแสงแดดแรงกล้าไม่ไหวงอแงขอกลับขึ้นรถ เมื่อเดินมาถึงรถก็พบว่าฮาตรึมสตาร์ทเครื่องรถเปิดแอร์เย็นฉ่ำรอสาวๆ อยู่ก่อนแล้ว... หึหึ ให้มันรู้ซะมั่งไผเป็นไผ
.....................................

จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้คือเจเบล ชัมส์ (Jebel Shams) หรือขุนเขาแห่งดวงอาทิตย์ (Mountain of the Sun) ยอดเขาที่สูงที่สุดของโอมาน

ระหว่างทางผ่านซากเมืองเก่าและน้ำตกเล็กๆ แต่ดูสาวๆ จะมีความสุขกับการตากแอร์เย็นๆ ในรถมากกว่า ส่วนผม... นอกจากห่วงเบียร์กระป๋องที่พร่องถังไป แล้วก็ไม่สนใจอะไรอื่นอีก ทัศนียภาพโดยรอบนั่นเลิกมองไปนานแล้ว ด้วยแห้งแล้งกันดารหาความสบายตาไม่ได้ จะมีความสุขก็ตรงได้นั่งเบียดสาวๆ ถูกเนื้อถูกตัวกันบ้างๆ นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น

โฉมหน้า "สะหริ่มและฮาตรึม"
เส้นทางขึ้นสู่ยอดเขาเป็นถนนลาดยางเล็กๆ ยิ่งสูงขึ้นไปเท่าไหร่ถนนก็ยิ่งคดเคี้ยวและแคบลงไปเท่านั้น แต่ทิวทัศน์รอบข้างนั้นยิ่งน่าตื่นตาตื่นใจ สาวๆ เริ่มเมารถหยุดจ้อไปนานแล้ว ส่วนผมเมาทั้งรถและเบียร์จนแยกอาการไม่ออก ท้ายสุดเมื่อรถไต่ถึงสุดทาง...ผมก็กระโดดผลุงลงจากรถ วิ่งไปเกาะรั้วเหล็กกั้นขอบเหว และโ่ก่งคออ้วกจนหมดไส้หมดพุง
เสียดายเบียร์ชะมัด ซัดไปตั้งเกือบสิบกระป๋อง...
.....................................
ถ่ายรูปเรียบร้อย ผมแยกตัวไปหาที่นอนเหยียดยาว ขากลับขึ้นรถได้ก็หลับเป็นตาย กรนดังรึเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าลืมตาขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ยินสาวๆ หัวเราะกันคิกคัก ถึงโรงแรมจึงรู้ว่าพวกเธอแอบถ่าย Clip และภาพนิ่งทีเด็ดยามหลับน้ำลายไหลยืดของผมไว้หลายสิบภาพ พวกเธอบอกว่าไม่ต้องห่วงเดี๋ยวกลับกรุงเทพจะไรท์ CD ใส่ box ให้ ลุงไม่ต้องกลัว รูปลุงไม่มีหลุดแน่นอน อิอิ พวกเธอรับรองแข็งขันเมื่อผมออกจะกังวลกับภาพพจน์ของตัวเองที่อาจเสียไปหาก Clip และภาพที่ว่าหลุดสู่สายตาประชาชี
พวกเธอคงไม่ให้ใครดูจริงๆ เพราะนี่ผ่านมาจะสามปีแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าผมจะได้ชมภาพ ทีเด็ด น้ำลายไหลยืดที่ว่า หากเธอทั้งสามหลงเข้ามาอ่านกรุณาติดต่อลุงกำแหงหาญด่วนตามตัววิ่งที่ปรากฏอยู่ด้านล่างนี้...
.....................................
เที่ยวเมืองนิซวากับสามสาวและหนึ่งลุง
เรื่องและภาพโดย กำแหงหาญ