ตอนไปถึงนั้นก็บ่ายๆเย็นๆแล้วครับ ออกจากโรงแรมมาตอน 5 โมงนิดๆ เมืองเงียบเอามากๆครับ ประหนึ่งเกือบๆเมืองร้างเลยครับ
เพราะว่าที่นี่กิจการร้านค้าเค้าจะปิดกันตอน 5 โมงเป็นส่วนใหญ่ จะเหลือก็แต่ร้านอาหาร / แล้วก็ร้านสะดวกซื้อบางร้านเองครับ

ภาพนี้ถ่ายตอนทุ่มกว่าๆ ถ้าเป็นบ้านเราคงกำลังยุ่งวุ่นวายทีเดียว แต่ที่นี่เงียบมากๆครับ
หลังจากวันแรกผ่านไปวันที่ 2 ก็นัดกันไปซื้อของฝากก่อนในตอนเช้า ก่อนจะไป Fremantle ต่อในตอนบ่าย
ปกติผมจะใช้โทรศัพท์มือถือเป็นนาฬิกาปลุก คราวนี้ก็เช่นกัน นัดกัน 10 โมง (เวลาที่นั่นเร็วกว่าเรา 2 ชั่วโมง)
ผมก็ตั้งปลุกไว้ตอน 7. 40 (เวลาบ้านเรา) แต่ลงมาแล้วไม่เจอใคร พอเหลือบดูนาฬิกาที่ฟรอนท์ มันดันเป็น 8 โมงซะได้
ผมก็ยังงงๆทำไมอยู่ๆดีๆโทรศัพท์มันเปลี่ยนเวลาเองได้ฟะ? มันอัพเดตผ่านซิมหรือไง? nokia 8250 เนี่ยนะ?
หลังจากงงๆแล้วก็กลับขึ้นไปนอนต่อ แล้วค่อยลงมาอีกทีตอน 10โมง แล้วก็ออกไปกินข้าว+ ซื้อของกัน
สำหรับผม ได้แต่ซื้อตามใบสั่งจากที่บ้านแค่นั้นเอง ไม่มีของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
ที่นี่ฟ้าใสมากครับ มากซะจนคิดว่า มีเมฆหน่อยก็ดีนะ ร้อนจะตายหองอยู่แล้ว ช่วงที่ไปนี่แดดจ้ามากๆครับ

ฟ้าใสแจ๋ว จริงๆครับ (จริงๆมีเมฆบางๆนิดหน่อย แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย)
พอตกบ่ายๆก็ขึ้นรถไฟไปฟรีเมนทัล ได้ยินจากพี่ๆมาว่า เมืองนี้จะเป็นเมืองท่าเรือริมชายทะเล ไปหาร้านนั่งกิน fish&chip จะได้บรรยากาศมากๆ อืม... พอได้ยินว่าเป็นเมืองริมทะเลมีท่าเรือ ผมก็จินตนาการไปไกลเลย แต่พอไปถึงมันไม่ค่อยจะเหมือนกับที่คิดเท่าไหร่แฮะ ไปถึงนู่นก็ 4 โมงกว่าเข้าไปแล้ว(สาวๆซื้อของนาน แต่ไม่ว่ากัน ออสเตรเลียนี่ไม่ได้มากันบ่อยๆ ส่วนผมกลับไปนอนรอได้อีกเกือบ2ชั่วโมง) ร้านรวงปิดเกือบหมดแล้วเหมือนเดิม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมรีบปิดกันจัง

ตึกแถบๆที่เห็นนี่จะเป็นพวกร้านกาแฟ/ไอศครีมซะส่วนมาก
หลังเดินวนไปวนมาอยู่นานหาที่ลงกันไม่ได้ซะทีก็เลยเดินไปที่ คุกฟรีเมนทัล โชคยังดีที่ไปทันทัวร์รอบสุดท้ายพอดีตอน 5 โมง
ระหว่างทางเดินก็ร้อนมากครับแดดเปรี้ยงมากแม้เกือบจะ 5 โมงแล้วก็ตาม (ซีกโลกใต้ฤดูร้อนมันมืดช้า รึเปล่า ไม่แน่ใจ)
ที่คุกแห่งนี้มีประวัติเก่าแก่พอสมควร แต่ปัจจุบันเลิกใช้ไปแล้ว ถ้าผมจำ/ฟังไม่ผิด ที่นี่น่าจะใช้เป็นที่ขังนักโทษยุคแรกๆของออสเตรเลียเลย
คุณไกด์ผู้คุม(คุณ Jane)จะใช้ศัพท์ 2 คำคือ convict กับ prisoner ผมไม่เข้าใจว่ามันต่างกันตรงไหน(มันก็นักโทษเหมือนกันนิ)
คุณ Jane จะพาชมคุกไปเรื่อยๆ อธิบายส่วนต่างๆภายในคุกให้ฟัง ซึ่งผมก็ลืมๆไปมั่งละ โดยเฉพาะรายละเอียดปีต่างๆที่ทำนู่นทำนี่อ่ะ
ที่นี่มีจัดแสดงห้องนักโทษตั้งแต่ยุคแรกสุด ยันยุคสุดท้าย รวมทั้งห้องประหารที่ยังคงอยู่ที่เดิมด้วยครับ

หน้าทางเข้าครับ เห็นคำว่า Open นี่ดีใจมากๆ แต่ก็มัวถ่ายรูปนกแก้วอยู่นั่นล่ะไม่เข้าไปซักทีเกือบไม่ทันเหมือนกัน

ตอนเข้าไปข้างในคุณ Jane ยังมีแอบแซว "เป็นไงบ้างล่ะบ้านใหม่ของพวกคุณ" (อืม ใหญ่กว่าบ้านตูเยอะเลย)

บรรยากาศทั่วๆไปในคุกครับ จะมีตาข่ายกันไว้ระหว่างชั้นมีไว้ป้องกันการฆ่าตัวตาย และการโยนของใส่หัวคนอื่น
ซึ่งส่วนมากจะโยนถังขี้ลงมากัน แม้ว่าถังจะติดตาข่ายไม่โดนหัว แต่ของข้างในไม่ติดตาข่ายนะครับ เหอๆ

ห้องขังยุคแรกสุด มีที่เท่าแมวดิ้นตายจริงๆ แต่จะได้อยู่คนเดียว ต่อมาภายหลังจะทุบกำแพงรวม2ห้อง เป็น 1ห้อง
แต่ต้องอยู่ด้วยกัน 2 คน แบบนี้อยู่ที่เท่าแมวดิ้นตายดีกว่า อีกคนมันจะทำอะไรเราบ้างก็ไม่รู้ - -*

ส่วนนี่เป็นห้องขังห้องสุดท้าย ก่อนที่จะให้ดื่มบรั่นดี ใส่ตรวน แล้วพาเดินไปยังห้องต่อไป....

คือห้องนี้ครับ คงไม่ต้องบอกว่าใช้ทำอะไรนะครับ
ออกจากคุกที่บรรยากาศหดหู่มาแล้วก็ไปหาอะไรกินกันตรงท่าเรือ หลักๆก็ลองไปกิน fish&chip แบบดั้งเดิม
จริงๆมันก็แค่ปลาชุปแป้งทอดกับเฟรนช์ฟรายน่ะแหละครับ หลังจากเข้าร้านไป 6 คนก็สั่งแบบเดียวกัน
แล้วก็....เหลือเหมือนกันหมดเลยครับ(อย่างน้อยๆก็มันฝรั่งทอดล่ะ) เพราะว่ามันเลี่ยนน่าดู ให้กินกับ vinegar แล้วก็เกลือ
ถ้าต้องการซอสอื่นๆก็ต้องซื้อเองล่ะครับ รู้งี้สั่งมา 4 ชุดแบ่งกันกินก็พอละ เห็นแล้วเสียดายง่ะ
เลยหาไอศครีมมากินแก้เลี่ยนกันต่อ แต่ว่าแต่ละคนก็กินกันไม่ค่อยไหวแล้วเลยซื้อถ้วย 3 สกู๊ป มาแบ่งกันกิน
ไปยืนจิ้มๆชี้ๆเลือกรสไอศครีมกันอยู่นาน เลือกได้เสร็จคนขายก็หันมาถามยิ้มๆว่า เอาช้อนกี่อัน? เอ่อ.. 5 ครับ แหะๆ
คนขายเค้าก็เสียบช้อนมาให้ 5 อัน ไอ้เด็กแถวๆนั้น(ประมาณ 5-7 ขวบ) มันก็พูดซะดังว่า โอ้ว ช้อนเยอะจังเอาไปทำอะไร?(น่าเตะจริงๆ เด็กเวง )

บรรยากาศร้านที่ไปนั่งกินกันครับ แต่แดดแรงมาก เลยไม่ได้ไปนั่งติดน้ำ นั่งกินในร้านตามปกติ
จากนั้นก็เดินไปริมหาดแถวๆนั้นแล้วเลยไปที่ round house ที่อยู่ใกล้ๆ เป็นจุดชมวิวแถวๆนั้นเลยครับ

น้ำทะเลนิ่งมากๆครับ เห็นเป็นเส้นตัดกับขอบฟ้าเลย
สำหรับวันต่อมาก็ออกไปเดินเล่นคนเดียวช่วงเที่ยงๆ เล่นเอาเกือบตายเหมือนกัน แดดแรงมากๆ ไม่ได้พกน้ำติดตัวไปด้วย
จะซื้อกินก็มีแต่น้ำเย็น ตอนนันเจ็บคออยู่เลยกินไม่ได้ (เริ่มสำนึกตัวหลังจากกินไอติมไป 2 รอบ แล้วอาการแย่ลง)
เดินไปแถวๆท่าเรือเฟอรี่ของเพิร์ธ ที่นั่นจะมี อาคาร Swan Bells หนึ่งในเครื่องดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ซึ่งภายในมีระฆังของ St.Martin-in-the-fileds 12 อัน (ป้ายเค้าว่างั้นอ่ะ)

นี่ล่ะครับอาคาร swan bell ที่ว่า ค่าเข้าคนละ 10เหรียญ ผมค่อยมีเวลาเลยไม่ได้เข้า

Park ใกล้ๆท่าเรือ ครับฟ้ายังคงใสไร้เมฆแดดจ้าอยู่เช่นเดิม
ทีแรกว่าจะไปหาที่เที่ยวต่ออีกซักหน่อยแต่ว่าแดดมันแรงเหลือเกิน ทั้งหมวกทั้งแว่นกันแดดก็ไม่ได้เอาไป แถมหิวน้ำอีก
ว่าแล้วก็แวะหาอะไรกินแล้วกลับโรงแรมดีกว่า แถมกลับไปเฉียดเวลา wake call ไปหน่อยเดียวเอง เหอๆ
จบแล้วครับ รูปที่เหลือไปดูได้ที่บล๊อคผม จิ้มที่ลายเซ็นต์ได้เลยนะครับ
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
ปล. นั่งพิมพ์อยู่นาน คิดชื่อกระทู้ไม่ได้ซักที สุดท้ายก็ได้มาแค่เนี้ย