
ป่าช้า ปารีส และดาวินชี่โค้ด
เรื่องและภาพโดยกำแหงหาญ
.............................................
เที่ยวให้สนุกทั้งทีต้องมีทีมงานที่ดีด้วย อย่างไปปารีสครั้งล่าสุด แววแจ่มๆ มันมาตั้งแต่ผมก้าวเท้าเข้าห้องบรีฟ และได้ยินเสียงพูดคุยฮือฮามาจากกลุ่มเด็กหลังห้อง แว่บหนึ่งที่กวาดสายตาไปรอบๆ ก็เห็นลูกเรือหน้าตาคุ้นเคย 3-4 คน นั่งยิ้มกริ่มมองผมอยู่ก่อนแล้ว
ลุงหาญ... คิดถึงจัง แอร์ ลูกเรือรุ่นกลางเก่ากลางใหม่ที่สนิทสนมกับผมมาตั้งแต่เป็น trainee ชิงทักทายก่อนที่ผมจะหย่อนก้นลงนั่ง โธ่หนู ทักกันแบบนี้มันเสียวนะโว้ย!
พาหนูเที่ยวปารีสด้วยนะพี่ อย่าลืมไรท์ซีดีให้หนูด้วย เธอยังจ้อไม่หยุด ฟังเหมือนคำสั่งกลายๆ ทำนองว่า หยุดนะ ไม่หยุดยิง หรืออะไรแนวๆ นั้น
ลูกเรือที่รู้จักผมดีจะรู้ว่าไปเที่ยวกับผมมีแต่ได้ไม่มีเสีย (ถ้าไม่ถูกบังคับเดินจนตีนพองซะก่อน) เพราะนอกจากจะได้ฟังเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ผมจำขี้ปากคนอื่นมาเล่าต่อแล้ว จบทริปยังได้ซีดีรูปตัวเองกลับบ้านเป็นของแถมไม่เสียตังค์อีกด้วย
แต่งานนี้ ไม่รู้ว่า เขาและเธอ จะยินดีไป ป่าช้า กับผมไม๊?
.............................................
คงไม่ต้องบรรยายอะไรมากเกี่ยวกับการทำงานบนเครื่อง เพราะลูกเรือที่บินเส้นทางยุโรปต้องมีประสบการณ์การทำงานในเส้นทางบินในประเทศและ Regional มาอย่างต่ำห้าปี เรื่องการดูแลเอาใจใส่ผู้โดยสารจึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ส่วนเรื่องความเก่าของเครื่องหรือความล้าหลังของระบบ entertainment ขอบิณฑบาตรว่าอย่ามาด่าลูกเรือเลย เพราะเราไม่รู้ ไม่เห็น และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับเรื่องนี้
บรรยากาศบนเครื่องบินโดยรวมแล้วค่อนข้าง Smooth as silk อย่างที่สายการบินของเราโฆษณาไว้ จะวุ่นวายบ้างก็ช่วงบริการอาหารมื้อค่ำ แต่เมื่อผู้โดยสารชาวปารีเซียงได้ไวน์เข้าไปคนละสามสี่แก้วก็หลับยาวจนเครื่องแตะพื้น ลูกเรือที่ต้องอยู่เวรดูแลทุกข์สุขผู้โดยสารจึงมักได้รับอานิสงค์ ...พลอยอยู่เวรกันอย่างมีความสุขไปด้วย
.............................................
ขอรวบรัดตัดความมาที่ปารีสเลย โรงแรมนี้เป็นแห่งเดียวกับที่พวกเราเคยพักเมื่อราว 20 ปีก่อน ลูกเรือรุ่นลุงป้าที่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจึงระลึกชาติกันวุ่นวาย ส่วนลูกเรือรุ่นกลางๆ อย่างผมและน้องๆ ดูจะใบ้รับประทานเนื่องจากจับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อเล็งในแผนที่นั่นแหละจึงรู้ว่าโรงแรมของเราอยู่ในย่าน Montpanasse ไม่ใกล้ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวดังๆ อย่างพิพิธภัณฑ์ลูฟว์หรือย่านถนนชองเซลิเซ่มากนัก
ข่าวที่ผมจะนำเที่ยวปารีสรวมทั้งย้อนรอย The Da Vinci Code ดังลามไปทั้งไฟลท์เหมือนไฟลามทุ่ง แต่เมื่อรู้ว่าผมจะประเดิมทริปแรกของวันด้วยการ ทัวร์ป่าช้า เพื่อนๆ ที่จองที่นั่งไว้ล่วงหน้าก็ชิ่งขอตัวกันเป็นแถว
.............................................

ท้ายสุดก็เหลือเพียง แอร์ และ เจี๊ยบ เท่านั้นที่ตกลงใจไปกับผม สุสานหรือ ป่าช้า ที่ว่าอยู่ห่างจากโรงแรมที่เราพักเพียงสองซอกซอยและถนนกั้น เรื่องหลงทางจึงตัดทิ้งไปได้

เราสามคนเดินไปตาม Boulevard Edgar Quinet ที่กำลังมีงานออกร้านขายของเก่า

ก็ทำเป็นเก็กไปกันงั้นแหละ แต่ล่ะคนนี่เปอร์เดี้ยมแทบไม่กระเด็น

น้อง แอร์ ทำท่าจะซื้อสร้อยหินสี ลองทาบกับคอครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ถามอยู่นั่นแหละสวยไม๊ๆ หยิบๆ จับๆ ชั่งใจอยู่เป็นนาน จนผมออกปากว่าซื้อไปไม่กลัวเจ้าของเค้ามาทวงคืนเหรอ นั่นแหละ เธอ จึงรีบวางสร้อยและเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทัน
.............................................

สุสานมองต์ปาร์นาสส์ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว แต่ยังอุตส่าห์มีผู้มาเยือนมากกว่า 2 แสนคนในแต่ละปี ส่วนหนึ่งเป็นญาติสนิทมิตรสหายที่มาเคารพศพและระลึกถึงบุคคลในครอบครัวอันเป็นที่รักซึ่ง เดินทาง ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว

ส่วนหนึ่งก็มา ชม หลุมฝังศพคนดังหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนอย่าง กีย์ เดอ โมปาสซังต์, ชองปองซาตร์ หรือปฎิมากรแนวคิวบิคเช่น Henri Laurens หรือ ป้าเบิร์ดแห่งปารีส Serge Gainsbourg นักร้องเพลงป๊อปอันโด่งดังสุดขีดของฝรั่งเศสในช่วง 70s ต่อ 80s ที่ยังคงมีดอกไม้สดจากมิตรรักแฟนเพลงวางไว้บนหลุมศพคับคั่ง

ไอ้ที่สาธยายมาทั้งหมด แอร์และเจี๊ยบ ไม่รู้จักเลยซักคน เขาและเธอจึงดูจะออกอาการเซ็งเล็กน้อย
.............................................
เราเดินเข้าสู่ย่าน Luxembourg Quarter เลี้ยวซ้ายเข้าสู่โบสถ์แซงต์ซุลปิซ (St.Sulpice) ที่นักท่องเที่ยวร้อยทั้งร้อยแห่เข้ามาดู Rose Line ตามท้องเรื่องในหนังสือ The Da Vinci Code ที่ Dan Brown โม้ไว้เป็นตุเป็นตะ ดูเหมือนเจ้าหน้าที่วัดจะรำคาญเหล่า สาวก ที่ตามรอย The Da Vinci Code มิใช่น้อยถึงกับติดป้ายไว้ว่า ที่นี่ไม่ใช่ศาสนสถานของพวกเพแกน แต่ทำไงได้ เพราะปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวกว่าสองแสนคน (สองแสนคนอีกแล้ว?) หลั่งไหลมายังโบสถ์แห่งนี้เพราะกระแสความดังของหนังสือเรื่องดังกล่าว ...ผมเดาเอาว่าเงินบริจาคก็คงไหลมาเทมาด้วยเหมือนกัน
แอร์และเจี๊ยบ ยืนเล็งเส้นเล็งเสาอยู่เป็นนาน จนผมรำคาญสะกิดว่าไปที่อื่นบ้างเหอะ เพราะบ่ายโมงแล้วชักหิว

เราเดินผ่านสวนลักเซมเบิร์ก ตัดเข้าถนน Boulevard Saint Michel ผ่านย่านมหาวิทยาลัยซอบบอร์น (Sorbonne) ถึงตอนนี้เจี๊ยบเป็นผู้นำเราไปยังร้านเกี๊ยว ป้าเบิร์ด นัยว่าป้าเบิร์ดมาปารีสเมื่อไหร่ต้องแวะมากินเกี๊ยวถึงนี่

ก็อร่อยสมราคาคุย แต่ราคาก็แพงโคตรๆ ตามไปด้วย
.............................................

ผมตั้งใจเข้าไปชมงานศิลปะดีๆ ที่ Musee dOrsay แต่ก็ทนกระแสอันเชี่ยวกรากของ The Da Vinci Code ไม่ไหว

ในที่สุดก็ต้องเสียตังค์นำน้องเข้าไปชมภาพโมนาลิซ่าในพิพิธภัณฑ์ลูฟว์อีกจนได้... เราใช้เวลากึ่งเดินกึ่งวิ่งอยู่ในนั้นไม่ถึง 2 ชั่วโมง เพราะพี่แกตั้งใจจะดูเฉพาะที่ในหนังสือ the Da Vinci Code กล่าวถึงเท่านั้น (หากจะชมลูฟว์ให้ทั่วและคุ้มจริงๆ ต้องใช้เวลาทั้งวัน หรือสองวัน)

ออกจากลูฟว์ท้องผมก็เริ่มร้องจ๊อกๆ ขึ้นมาอีกรอบ เจี๊ยบเสนอเมนูเด็ดหอยแมงภู่อบร้านลีออง (Leon de Bruxelles) ร้านอาหารแฟรนไชส์สัญชาติเบลเยี่ยมที่มีสาขามากมายกระจัดกระจายทั่วปารีส

ร้านนี้มีดีที่หอยแมงภู่ซอสครีม ซอสไวน์ขาว อบชีส หรือปิ้งย่างทอดอบอีกหลายรูปแบบแล้วแต่จะสั่ง แต่ที่ลูกเรือไทยนิยมที่สุดคือหอยแมงภู่อบชีส สนนราคาถังละเกือบๆ พันบาท (คะเนด้วยตามีหอยแมงภู่ไม่ถึงหนึ่งกิโล) ใครไปถึงที่แล้วอยากลองกินก็เชิญ
แต่สำหรับผม... ผมจะไปตลาดใกล้บ้านแล้วเลือกหอยแมงภู่สดๆ ฝายังไม่เปิดมาสามโล (ตัวโตบึ้มเท่าหอยปารีสนี่แหละโลละ 35 บาท) หิ้วขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ล้างให้สะอาด บังคับเมียให้ไปเด็ดพริก เด็ดใบโหระพา ทิ่มพริก ทุบกระเทียมทำน้ำจิ้ม จากนั้นผมจะอัญเชิญหอยทั้งหลายเข้าซึ้ง นึ่งให้สุกกะยังไม่ให้เนื้อหอยเ*่ยวก็ยกลง..
เชื่อผมสิว่ามันอร่อยจี๊ดจ๊าดกว่าหอยแมงภู่ร้านลีอองร้อยแปดพันเท่า จะกินทิ้งกินขว้างประชดชีวิตบ้างก็ไม่ต้องเสียดาย เพราะราคามันต่างกันกว่าสิบเท่าในปริมาณที่เท่ากัน
.............................................

อิ่มแล้วก็เดินย่อย window shopping กันบนถนนชองเซลิเซ่ ต้นแบบของถนนราชดำเนินแต่หรูหราและมีชีวิตชีวากว่ากันหลายล้านเท่า

แล้วก็ไปแอ๊คท่าถ่ายรูปกับประตูชัย

ผมพยายามทำตัวเป็นไกด์ผู้มากไปด้วยประสบการณ์ด้วยการอธิบายประวัติความเป็นมาของประตูชัย แต่ดูน้องทั้งคู่จะสนใจกับการเป็นแบบให้ผมถ่ายรูปมากกว่า สรุปสั้นๆ แถวบ้านผมเรียกว่าพวกบ้ากล้องนั่นแหละ

ถ่ายไม่เป็นขอให้ได้จับๆ คลำๆ ซักหน่อยก็ยังดี

ในที่สุดเราก็จากย่านการค้าอันหรูหราของปารีสพร้อมกับโปสการ์ดสวยๆ สองสามแผ่น

เราขึ้นรถไฟใต้ดินรวดเดียวมาลงที่สถานี Trocadero นั่งๆ นอนๆ พักผ่อนแถวๆ ตีนบันได Palais de Chaillot จุดชมวิวที่มองหอไอเฟลได้สวยที่สุดอยู่เป็นเวลานาน จนเริ่มมืดนั่นแหละจึงชักชวนกันกลับที่พัก

พรุ่งนี้ไปไหนพี่ เจี๊ยบเอ่ยปากถามก่อนจะแยกขึ้นห้องใครห้องมัน
ป่าช้าอีกแหละน้อง ไปไม๊ มีสุสานใหญ่ของปารีสอีกแห่งที่ผมต้องไป จิม มอร์ริสันนอนรอผมอยู่ที่นั่น ผมเห็นแววเซ็งๆ ในดวงตาของเจี๊ยบ ผมรู้ว่าเจี๊ยบอยากไปแวร์ซายส์ แต่ผมไปหลายครั้งจนเอียนจะแย่อยู่แล้ว
งั้นผมขอตัวและกันพี่ เจี๊ยบว่า
หนูก็ไม่ไปอะพี่ รู้สึกไม่ค่อยสบายอะ อ้าว น้องแอร์ก็ออกอาการต๊อแต๊กะเค้าด้วย
.............................................
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้ว่าใครๆ จะอยากไปเที่ยวกับผม แต่ถ้ายังขืนจัดทริปชมป่าช้าบ่อยๆ แบบนี้ เห็นทีต้องตะลุยเดี่ยวเที่ยวยุโรปคนเดียวตลอดกาล
.............................................
ป่าช้า ปารีส และดาวินชี่โค้ด
เรื่องและภาพโดยกำแหงหาญ
เผยแพร่ครั้งแรก: นิตยสาร Take Off ตุลาคม 49