โดย djsoloabs » วันอาทิตย์ ต.ค. 31, 2010 10:17 pm
(ขอบคุณรูปจากทางForward mailที่เพื่อนเราส่งมาให้นะ ขอบคุณตากล้องฝีมือดีที่ถ่ายเอามาลงด้วยนะคะ)
เราเองเป็นแอร์ ไม่นึกเหมือนกันว่าวันหนึ่งจะโดนผลกระทบจากการเมืองเข้าอย่างจัง ก็เห็นผู้ใหญ่เขาประท้วงกันที่สภาอยู่ดีๆ ไม่นึกเลยวันดีคืนดีเปลี่ยนใจย้ายมาสนามบินซะงั้น ไอ้เราเองก็ดีใจตอนแรกมีไฟล์ทต้องไปบราซิล มีคนบราซิลส่งไฟล์ทBKK-HKG มาขอแลกวันที่23-26 พฤศจิกายน 2551 รีบรับทันใด หึหึหึ ไม่นึกว่าไฟล์ทBKKคราวนี้จะกลายเป็นไฟล์ทที่จะต้องจดจำไปชั่วอายุแอร์ เอาละ เราจะยืดอกพกถุง(อ้วก)เล่าให้ฟัง ขณะที่นั่งพิมพ์ตอนนี้ยังป่วยอยู่เลย เอาละ ไม่ต้องถามแล้ว เตรียมตัวอ่านแล้วกัน
ตารางบินไปกรุงเทพของเราเป็นแบบนี้
Trip No. xxxx
Flight No. Date From To
xxxx 23 Nov 2008 BASE (03.15) BKK(12.05)
Lay over BKK 24.00 hrs.
xxxx 24 Nov 2008 BKK(13.20) HKG(17.10)
xxxx 24 Nov 2008 HKG(21.40) BKK(23.25)
Lay over BKK 24.25 hrs.
xxxx 26 Nov 2008 BKK(01.05) BASE(04.35)
กำหนดการจริงๆคือต้องถึงฐานทัพของเรา วันที่26 พฤศจิกายน ตอนตีสี่ ซึ่งก็เท่ากับว่าต้องออกจากไทยตอนตีหนึ่งคืนนั้น แต่ทว่า....
วันที่25 พฤศจิกายน ตอนบ่ายๆ เรายังนั่งอยู่บ้านดูดมะม่วงจ๊วบๆอยู่ดีๆเลยนะ นั่งดูทีวีไป กินไปอ้วนไปแล้วก็มีความสุขไปที่ได้อยู่บ้านกับยาย ตอนเช้ายังออกไปจ่ายตลาดซื้อของมาตุนกลับอาหรับเลย พ่อเราออกไปทำงานเพราะวันนั้นไม่ใช่วันหยุด ส่วนแม่ก็ออกไปดูงานกิจการหลักของบ้าน ตกลงกันว่าตอนเย็นทุกคนจะกลับมาเจอกัน กินข้าวด้วยกัน มองหน้าลูกสาวที่เป็นแอร์และจะต้องบินกลับในคืนนั้น เวลาปลุก(wake up call)ตามปกติคือเวลาประมาณสามทุ่มครึ่งและเวลารถออก(pick up)คือสี่ทุ่มครึ่ง โดยที่พ่อเราก็จะพาเราไปส่งให้ถึงที่โรงแรมประมาณสองทุ่มตามที่เคยๆทำ แต่วันนั้น ตอนบ่ายๆ อยู่ดีๆพ่อเราก็โทรมาน้ำเสียงตกใจ
พ่อ : เมื่อกี้สงสัยหัวหน้าเราเขาโทรมาหาพ่อ(คือเราให้เบอร์ติดต่อเป็นเบอร์มือถือพ่อเราไป คนที่กลับไปค้างบ้านต้องให้เบอร์ติดต่อกับหัวหน้า หรือที่แอร์เรียกกันว่าPurserไว้กรณีมีเหตุฉุกเฉิน) พูดภาษาอังกฤษ พ่อขับรถอยู่เลยบอกให้โทรกลับอีก10นาที สงสัยมีเรื่องด่วน ลูกโทรกลับเขาทีละกัน สงสัยต้องออกเร็วขึ้นแน่เลย ด่วนลูกด่วน
เรา : หา ทำไมละ แล้วนี่พ่ออยู่ไหน
พ่อ : พ่อขับรถกลับอยู่ เดี๋ยวอีกแป๊บคงถึงบ้าน โทรไปคุยกับหัวหน้าเราก่อนละกัน
ได้ยินเท่านั้นละเรารีบกดหาPurserเลย
เรา : ฮัลโหล เมื่อกี้คุณPurserโทรหาพ่อหนูเหรอคะ พอดีว่าท่านขับรถอยู่ ต้องขอโทษด้วยคะ
Purser : ไม่เป็นไรจ้ะ พี่แค่อยากให้หนูรีบมาโรงแรมให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้ลูกเรือไฟล์ทอื่นเขาเลื่อนเวลาบินให้เร็วขึ้นแล้วนะ ไม่รู้ว่าการประท้วงที่สนามบินจะส่งผลกระทบต่อไฟล์ทเราหรือเปล่า เลยอยากให้รีบมาเร็วๆไว้ก่อน เพราะเราอาจจะต้องเลื่อนเวลาบินให้เร็วขึ้นตามนะจ้ะ
เรา : (ตกใจอย่างยิ่งยวด) ได้คะ หนูจะรีบไปนะคะ
Purser : ตอนนี้พี่คงบอกอะไรไม่ได้แน่นอน แต่ก็อยากให้ลูกเรือไทยทุกคนรีบกลับมาที่โรงแรม เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอด
พอได้ยินเช่นนั้น ในใจเราก็เสียใจนะที่จะได้อยู่กับครอบครัวน้อยลง แล้วก็รีบตาหูแหกอาบน้ำแต่งตัว พ่อและแม่เราก็กลับมาพอดี มาช่วยกันจัดกระเป๋าให้เรา ข้าวก็รีบยัดๆใส่ปาก ยังจำได้เลยว่ายายทำไก่ทอดของโปรดให้ แต่ไม่มีเวลากินเสียแล้ว นอนก็ไม่ได้นอนเพราะตอนแรกกะว่าจะมานอนตอนเย็นเอาแรงสักสามชั่วโมง ที่ไหนได้ต้องรีบออกโดยด่วน รีบกอดแม่กอดยาย ตอนนั้นเรารู้สึกว่าอกยายอุ่นมากเลย อุ่นแบบอยากอยู่อย่างนั้นนานๆ ไม่นึกว่าคำพูดนั้นจะเป็นจริง
เราไปถึงสักประมาณทุ่มกว่าๆ ก็มีจดหมายส่งมาในห้องว่าเวลาwake upและpick upเลื่อนขึ้นหนึ่งชั่วโมงจากเดิม กลายเป็นว่าต้องออกจากโรงแรมสามทุ่มครึ่งเพราะกลัวรถติด พ่อเรายัดน้ำไว้ในกระเป๋าCabinเราเลยเพราะเดาว่าเราต้องหิวน้ำ เราเองก็จัดการเข้าห้องน้ำหลายสิบรอบชนิดว่าเอาหมดกระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ พอสามทุ่มครึ่งถึงเวลา ทุกคนพร้อมในเครื่องแบบ แต่พี่คนไทยเราคนหนึ่งยังอยู่ในชุดช้อปปิ้ง ตะดึ่ง! พี่เขาเพิ่งกลับมาจากสยาม ไม่มีใครโทรบอกพี่เขา แต่พี่แกก็สปิริตสูงมากคะ เจ๊แกขอเวลาสิบนาที แต่งตัวอย่างเดียวไม่อาบน้ำไม่ทำผมไม่แต่งหน้า มาทำที่เหลือในรถเอา และก็ทันคะคู้นนน เท่านั้นไม่พอ พอกัปตันกำลังจะขึ้นรถบัส แอร์สาวอียิปต์ลูกเรือที่ทุกคนว่าเธอทำตัวงงๆกับชีวิตก็ปรากฏกายขึ้น เพิ่งกลับจากจ่ายตลาดเช่นกัน แถมกัปตันบอก ไม่รอแล้ว ต้องรีบไป เท่านั้นละ แอโรพัตรา(เป็นคำสมาสระหว่างคำว่า แอร์+คลีโอพัตรา)ของเราถึงกับหน้าเสียวิงวอนขอเวลาสิบนาที แล้วก็เข้าอีหรอบเดิมแบบเจ๊ฉัน ไม่อาบน้ำ เปลี่ยนแค่ชุด หน้าไม่แต่ง ผมไม่หวีเดินลงมาพร้อมกระเป๋า เพื่อนๆแอร์ถึงกับปรบมือให้กำลังใจ แปะๆ แต่พอขึ้นรถเท่านั้นแหละ กัปตันของเราก็ประกาศว่า...... “เอ้า ทุกคน ลงรถ” พี่แกบอกว่าตอนนี้สถานการณ์ที่สุวรรณภูมิกำลังแย่ กลุ่มพันธมิตรเดินทางไปสนามบินกันหมดแล้ว เลยไม่แน่ใจว่าเราจะไปกันได้หรือไม่ จึงต้องขอให้ทุกคนลงไปรอที่หน้าlobbyก่อน คุณหัวหน้าแอร์ชั้นผู้ดี (SFSหรือSenior Flight Stewardessชั้นPremium) พอได้ยินเท่านั้นละ “อ้าววว พวกเธอ ใครจะไปคลับกับฉันม่างยะ ” แม่คุณ คิดแต่จะเที่ยวลูกเดียว แต่ก็แอบฮาดีนะ เพราะเราว่าสถานการณ์แบบนั้น ดูฝรั่งเขาจะคิดว่ามันไม่ร้ายแรง อย่างว่า คนไทยอย่างเรายังไม่คิดเลย แถมได้อยู่กรุงเทพต่อต้องไปเที่ยวสินะถึงจะคุ้ม ระหว่างนั้นพ่อเราก็โทรมาบอกว่าเขาปิดสนามบินไปแล้ว และกัปตันก็ประกาศอย่างเป็นทางการว่า.....
“เอาละ ไทยแก๊งค์ ผมรู้นะว่าพวกคุณคิดอะไรอยู่ ยิ้มกันใหญ่เชียวนะ (ตอนนั้นเราทุกคนยิ้มแก้มปริเลย เพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์มันเลวร้ายขนาดนี้ เลยหวังแค่จะได้อยู่บ้านต่ออีกวันเท่านั้น) ตอนนี้พวกเราคงต้องอยู่ที่โรงแรมอีกหนึ่งวัน หรือจนกว่าสนามบินจะเปิดนั่นละ อย่างไรก็ตามใครที่คิดจะกลับบ้าน ผมขอละ เอาแฟน เอาครอบครัวมาอยู่ที่นี่ดีกว่า เพราะกำหนดการเปลี่ยนแปลงได้ทุกนาที และหากมีการเปลี่ยนแปลงอะไร ผมจะแจ้งให้ทุกคนทราบอีกที คืนนี้กลับเข้าห้องเดิมไปก่อนละกันนะจ้ะ คิดว่าคงน่าจะเป็นพรุ่งนี้ละที่จะได้กลับ เออ แล้วมีใครกลัวต้องการให้ผมกอดปลอบใจไหม ...... (แอบฮาได้อีกคุณกัปตัน)”
จากนั้นเราก็เปิดเข้าห้อง1001ห้องเดิมของเรา รีบเปิดทีวีดูข่าว โอ้โห!พระเจ้าช่วย มันขนาดนี้เลยหรอวะ! (แอบตกใจถึงกับลืมเซ็นเซอร์) สภาพที่สนามบินสุวรรณภูมิดูน่ากลัวมาก ผู้คนเสื้อเหลืองมากมาย ผู้โดยสารก็เดินอย่างไร้ที่พึ่งเพราะทุกเคาน์เตอร์ปิดหมด และภาพที่ติดตาเราที่สุดคือ แอร์สายการบินประจำชาติเดินลงบันไดเลื่อนมาในขณะที่คนเสื้อเหลืองถือไม้หน้าสามวิ่งขึ้นบันไดเลื่อนสวนทางกับเหล่าแอร์ ถ้าเป็นเรา เราจะทำยังไงน้า สงสัยฉี่แตกแน่ๆเลยฉัน เราติดตามข่าวทั้งคืนเลย โชคดีนะเนี่ยที่มีเสื้อผ้าติดมาหนึ่งชุดพอจะใส่นอนได้ ส่วนกับข้าวที่ยายทำไว้ ผักบุ้งและเต้าหู้ที่ยัดใส่กระเป๋า ต้องรีบเอายัดตู้เย็นหมด พี่นพแอร์ไทยสุดขำขันของเราก็เลยชวนแอร์ไทยและเสี่ยวหุ้ยแอร์อาหมวยชาวสิงโตทะเลมากินกับข้าวถุงที่ป้าพี่เขาทำมา เพราะกลัวจะเน่า เรียกว่าอร่อยกันถ้วนหน้า
แอร์บางคนเนื่องจากเสื้อผ้ามีจำกัดเพราะไม่นึกว่าจะต้องมาค้างที่นี่นานกว่ากำหนด เลยต้องใส่แล้วใส่อีก เน่าแล้วเน่าอีก จนทนไม่ไหวต้องออกไปซื้อเครื่องในที่ห้างในวันรุ่งขึ้น ส่วนพี่SFSคนไทยในชั้นEconomyเรา หรืออาจจะเรียกว่านางพญาชั้นประหยัดก็หรูไม่น้อย พี่แกรู้จักMIX and ไม่MATCH พี่เขาไม่มีเสื้อ มีแต่กางเกง แกก็ใส่เสื้อยูนิฟอร์มเรานี่แหละ แล้วเอาผ้าพันคอคลุมเอา แต่ออกมาดูได้นะจะบอกให้ ถ้าไม่บอกนี่ เรียวขาประหนึ่งพอลล่า บั้นท้ายให้เจโล เรียวแขนให้ยาวเรียวแบบอั้ม แต่พอดูเสื้อและผ้าคลุมไหล่…… แหมมม ก็ยังน่ารักอยู่ดีละ (ก็มันไม่มีเสื้อใส่นี่หว่า)
เช้าวันใหม่ บิดาเรามาเคาะประตูแต่เช้า เราเองก็ไปเปิดประตูอย่างสลึมสลือ แน่สิ เมื่อวานไม่ได้นอนกลางวัน แถมตอนกลางคืนก็นอนดึกเพราะมัวแต่ดูข่าวจนตีสอง เครียดนะเนี่ย พ่อเราเอาเสื้อผ้ามาให้ อาหาร น้ำ นม แบรนด์ (เหมือนมาเยี่ยมไข้) เอามาทุกอย่างยกเว้น เครื่องในเรา เลยต้องทนใส่ซ้ำๆไปอีกวัน เน่ากันพอดี สักพักพ่อเราก็ออกไปทำงาน เราก็อยู่ห้อง ลงไปเดินเล่นนอกโรงแรมบ้าง แต่ไม่กล้าออกไปไหนไกล กลัวเขาเรียกแล้วเราไม่อยู่ ก็ซวยสิ แต่แอร์คนอื่นๆก็มีไปสยาม ไปประตูน้ำกันนะ เฮฮาปาจิงโกะกันไปเลย จ่ายตลาดกันทั้งนั้นพวกแอร์สาวฝรั่ง ไฟล์ทกรุงเทพเป็นที่โปรดปรานของแอร์ฝรั่งเลยนะ เท่าที่ฟังมาเราไม่ค่อยได้ยินใครไม่อยากได้กรุงเทพ เพราะเขาอยากมาซื้อของ มันถูกไงละ เรียกได้ว่า ถูกเป็นอุนจิเลยในสายตาเขา เลยอยากจะมาช้อปปิ้งกัน ผ่านไปอีกหนึ่งวัน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีความคืบหน้า สนามบินยังปิดอยู่ เสื้อเหลืองไม่ยอมถอยถ้านายกไม่ลาออก ข่าวในทีวีต่างวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์กันใหญ่
ย่างเข้าวันที่สอง เราแอบกลับไปบ้านแว๊บนึง ไปเอาของและเชคคอมที่บ้าน เพื่อนๆในMSNเราก็ถามกันใหญ่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เราก็ตอบไปว่าสบายดี ซึ้งใจจรึงๆที่เพื่อนๆเป็นห่วง แต่มันดันตอกกลับว่า ไม่ใช่แก หมายถึงสนามบินต่างหาก เป็นไงบ้าง มันกลัวไม่ได้กลับบ้านเพราะมันมีไฟล์ทกรุงเทพ กรอดดดดดด ไม่ได้ห่วงตูเลย
พอกลับมาถึงโรงแรม ได้จดหมายสอดใต้ประตูบอกว่าวันนี้ขอประชุมทุกคนตอนหนึ่งทุ่มที่ห้องบอลรูม พอถึงเวลา เราก็ลงไป โอ้โห! แม่เจ้า มันไม่ใช่แค่ไฟล์ทเรา แต่ยังมีอีกสามไฟล์ทด้วยกันที่ไม่ได้กลับ แล้วนี่บริษัทจ่ายค่าเสียหายตายเลยสิ เพราะต้องให้ค่ากินค่าอยู่(Allowance)คนละ2,400กว่าบาททุกวัน ส่วนตัวเรานะชอบมาก(แอบนิสัยไม่ดี) สบายไม่ต้องทำงานแถมได้ตังไปใช้ คนอื่นก็ช้อบชอบเช่นกัน แหมนั่งๆนอนได้ตัง เป็นใครจะไม่ชอบละคะ เมื่อเริ่มประชุม กัปตันก็เริ่มแถลง เล่าถึงสถานการณ์ตอนนี้และมีความเป็นไปได้ว่า บริษัทจะส่งเครื่องบินมารับโดยที่พวกเราอาจจะต้องนั่งรถไปที่อู่ตะเภากัน แต่กำหนดการยังไม่แน่นอน จึงขอนัดประชุมอีกทีวันพรุ่งนี้ หนึ่งทุ่มที่เดิม พอพูดจบ ก็ถามต่อว่า “เอาละ ใครอยากไปดื่มเบียร์กับผมบ้าง?” ไม่พ้น ไม่พ้นเรื่องเดิม ฝรั่งมาไทยคือต้องเที่ยวจริงๆ แต่ก็ตลกดีนะ นับว่าเป็นการจบลงด้วยเรื่องดื่มๆกินๆอย่างเฮฮาคลายเครียด ก็มีลูกเรือไปด้วยเป็นโขยงเลย คุณหัวหน้าแอร์ชั้นผู้ดีไฟล์ทดิฉันก็เสนอที่เที่ยวอีกแล้วคะ ท่าทางเธอจะเชี่ยวเมืองไทยไปแล้ว รู้จักสถานที่มากกว่าคนไทยอย่างเราเสียอีกแหะ สงสารก็แต่ลูกเรือชายฉายเดี่ยวของไฟล์ทเรา ขอเรียกว่าพี่ออส่วน(นามสมมติ) เขาดูเบื่อมากๆเลย เราและอีกหลายๆคนเห็นเขาเดินที่หน้าlobbyทั้งวัน ไม่รู้จะทำอะไร แถมพอกัปตันถามว่าใครจะไปกินข้างนอกบ้าง พี่ออแกก็เพิ่งจะสั่งอาหารRoom Serviceก่อนที่จะลงมาเอง เลยต้องกลับไปเหงาบนห้องคนเดียวอีก เราก็เข้าใจเขานะ เป็นลูกเรือชายคนเดียวในไฟล์ท ผู้หญิงเขาก็ไปช้อปปิ้งซื้อเสื้อผ้ากัน เป็นผู้ชายคนเดียวเลยลำบาก
คืนนี้เราโทรไปหาจี๊ส(แว่นแรด) เพื่อสมัยวันขบเผาะเมื่อปฐมวัย พอดีมันไปจีนกลับวันที่25 ซึ่งก็คือคืนที่พันธมิตรไปยึดสนามบิน แถมกลับดึกๆสะด้วย เราเลยรีบโทรไปหามันเพื่อเชคความปลอดภัยว่ากลับมาได้รึเปล่า มันเล่าให้เราฟังว่ามันกลับมาตอนสามทุ่มพอดี คือสนามบินปิดขาออกแล้วแต่ยังปล่อยให้ขาเข้าลงจอดได้อยู่ มันลงมาก็เห็นคนเสื้อเหลืองเยอะแยะก็ตกใจ เอ๊! วันพ่อก็ไม่ใช่ วิ่งเฉลิมพระเกียรติก็ไม่เชิง พ่อมันก็ขับรถไปรับ วนอยู่นานมากกว่าจะเจอกัน แถมพันธมิตรใจดีนึกว่าเป็นรถมาร่วมประชุมเปิดให้เข้าแถมแจกขนมปังด้วย คุยกันสักพัก เมื่อรู้ว่าปลอดภัยกันดีก็วาง แล้วจึงออกไปกินข้าวต้มมื้อเย็นข้างนอกกับพ่อที่มาเฝ้าอยู่กับเราที่โรงแรม
นานมากแล้วนะที่เราไม่ได้ไปไหนมาไหนกับพ่อข้างนอก เดินเที่ยวเล่น รู้สึกอบอุ่นใจและมีความสุขจังเลย เหมือนพ่อลูกนานๆทีจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน อยากให้แม่กับยายมาด้วยจัง
ขณะนั่งกินข้าวต้ม โต๊ะข้างๆหลังจากได้แมสเสจก็พูดขึ้นว่า “ปิ่นเกล้าปิดแล้ว” พ่อเราก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น คือพี่เขาบอกว่าเพื่อนพี่เขากลับไม่ได้เพราะตำรวจปิดสะพานปิ่นเกล้า เดาว่าคงจะกั้นพันธมิตรไม่ให้ไปที่อื่น พ่อเราก็เดาว่าคืนนี้ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ส่วนเราอาการหวัดเริ่มกำเริบ รู้สึกเจ็บคอ มีไข้ เลยวางแผนไว้ว่าพรุ่งนี้เช้าคงต้องไปโรงพยาบาลแล้วละ คืนนี้พ่อเรามานอนเป็นเพื่อน ส่วนพรุ่งนี้แม่จะมานอนเป็นเพื่อนสลับกัน มีความสุขจังเลย แฮะๆ กะอ๊อกกะแอ๊กๆๆ เริ่มป่วยแล้วเรา
วันที่สาม เราตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเจ็บคอและมีไข้ เลยโทรบอกPurserว่าจะขอไปโรงพยาบาลตอนเช้าและจะกลับมาตอนเที่ยง
เมื่อไปถึง หมอก็ตรวจหูคอจมูกเร แ ล้ววินิจฉัยว่าเราเป็นทอมซิลเรื้อรังมาจากเดือนที่แล้ว ขากรรไกรขวาอักเสบเนื่องจากอ้าปากกว้างหรือหาวผิดจังหวะเลยทำให้ปวดร้าวไปถึงขมับข้างขวาเวลาบิน(ขำดี หาวผิดจังหวะ) หมอให้ยาอักเสบฆ่าแบคทีเรียชนิดแรงและยาเม็ดVoltarenเรามาพร้อมกำกับให้นอนพักเยอะๆดื่มน้ำมากๆ
พอหลังจากไปหาหมอมาช่วงเช้า เราก็กลับมานอนซมตั้งแต่บ่ายยันเย็น ออมเพื่อนสนิทที่มหาวิทยาลัยอีกคนโทรมาบอกว่าจะมาหาเย็นๆ แต่เรารู้สึกไม่ค่อยดีมีไข้ เลยบอกให้ออมมานั่งแทะฝรั่งดองเล่นบนห้องเราแทน ระหว่างนั่งแทะฝรั่ง ไอ้ออมมันก็วิจารณ์สถานการณ์อย่างเมามัน ส่วนเรานอนซมฟังมันรอเวลาหนึ่งทุ่มที่ต้องไปประชุมข้างล่าง นัดกับออมว่าประชุมไม่เกิน15นาที เสร็จไปกินร้านอาหารอีสานเจ้าเดิมกันต่อ ไม่ถึง15นาทีจริงๆคะ ต้องส่งแมสเสจหามันบอกว่าไปไม่ได้แล้วเพราะต้องไปอู่ตะเภา คืนนี้!
ใช่แล้ว คืนนี้ ห้าทุ่มต้องออกตัว แต่ทั้งนี้กัปตันบอกว่าทุกอย่างอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอด บริษัทจะส่งเครื่องบินจากสิงคโปร์มารับพวกเราที่อู่ตะเภา ทั้งลำก็จะรับพวกเราแอร์อาหรับทั้งหมดติดอยู่ที่นี่ร้อยกว่าชีวิต รวมทั้งจะมีผู้โดยสารอีกประมาณ50คนและแอร์ที่ลาพักร้อนกลับบ้านมาไทย บรรยากาศในห้องบอลรูมทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นการเข้าค่ายรับน้องยังไงไม่รู้ เราไม่เคยเห็นลูกเรือมากขนาดนี้มาก่อน ยิ่งเอาลูกเรือที่ค้างจากที่โนโวเทล สุวรรณภูมิมารวมที่นี่ด้วยแล้ว เยอะกันไปใหญ่ กัปตันบอกว่าเครื่องจะเป็นเครื่องเปล่าบินมารับเราโดยเฉพาะ ดังนั้นจะมีการสุ่มเลือกลูกเรือจากไฟล์ทหนึ่งมาปฏิบัติงานกลับ และแน่นอน แอร์สปิริตแรงกล้าอย่างพวกเรา ถูกอบรมสั่งสอนมาตามคติพจน์ลูกเสือ ขยัน อดทน ประหยัด มัธยัสถ์ และเสียสละ ต่างรีบยกมือขะ ขะ ขะ ขะ ขอ ทะ ทะ ทะ ทะ ทำตัวตามสบาย บิดขี้เกียจกันสักหน่อย เหอะๆ ไม่เอาละ เวลานั้นมันไม่มีใครอยากทำงานแล้ว เพราะไม่ได้นอนมาทั้งวัน อยู่ดีๆก็มาบอกไปคืนนี้ แล้วผลออกมาก็คือไฟล์ทที่เพิ่งมาจากฐานอาหรับที่เตรียมตัวจะไปซิดนีย์ต้องปฏิบัติงานกลับ หลังจากนั้นเรารีบโทรหาพ่อแม่บอกข่าวทันที เสียดายเหมือนกันนะที่ต้องอดนอนกับแม่
พ่อไม่ลืมที่จะหยิบข้าวฝีมือยายมาให้เรากิน เรารีบยัดสิ่งที่เรียกว่าอาหารเข้าปาก แม่เราก็นั่งมองแล้วก็ยิ้ม เรารู้สึก เหมือนว่า คงเป็นเพราะแม่กับเราไม่ค่อยได้เจอกัน เขาเลยอยากมองหน้าเราเอาไว้ให้นานที่สุด เพราะก่อนหน้านี้สมัยที่เรายังเรียนหนังสือ แม่เราไม่มองเราแบบนี้เพราะรู้อยู่ว่าได้เจอกันทุกวัน ตอนนี้เราไม่ได้อยู่บ้าน นานๆกลับที แม่เราเลยอยากมองหน้าเรานานๆมั้ง ไม่รู้สิ แต่เรารู้สึกแบบนั้น เราเองก็ไม่กล้าหันไปมองแม่เพราะเราอาย เราทำตัวไม่ถูก แต่เรารู้ว่าแม่มองเราด้วยความรัก เราไม่รู้จะตอบกลับไปยังไงว่าเราก็รักแม่เหมือนกัน เลยได้แต่ก้มหน้าก้มตากิน
พอถึงเวลาต้องลง เรารู้สึกหนาว แม่เราเลยถอดเสื้อแขนยาวที่ใส่อยู่ให้เราใส่แทน แต่กลับกลายเป็นว่า ไอ้เจ้าเสื้อนี่ละทำให้เราน้ำมูกไหลเพราะแม่เราดันหยิบมาจากตู้เสื้อผ้าเก่าที่ไม่ได้ใส่มานาน มันเลยมีฝุ่น ซวยซ้ำซวยซ้อนที่เราเป็นภูมิแพ้ บวกกับเป็นไข้อีก เลยน้ำมูกไหล จามตลอดเลย ก่อนขึ้นรถบัส เราก็วิ่งเข้าห้องน้ำเป็นสิบๆหน ฉี่แล้วฉี่อีกจนหมดกระเพาะปัสสาวะ กลัวปวดฉี่บนรถ เพราะกัปตันบอกจะไม่แวะห้องน้ำเด็ดขาด เราเลยอดน้ำอดอาหาร และเข้าห้องน้ำรีดน้ำจากตัวออกให้มากที่สุด
พอขึ้นรถ เหล่าแอร์ไทยก็ไปนั่งด้านหลังรถกัน พวกกัปตันกับแอร์ฝรั่งนั่งข้างหน้า ตอนแรกก็ไม่คุยกันหรอกคะ เงียบกันหมด สักพัก ก็มันหิวนี่นา เริ่มหยิบนู่นหยิบนี่มากินกัน เจนนิเฟอร์คนฟิลิปปินส์ก็คว้าป๊อกกี้มาแบ่ง เฮฮากันใหญ่ พี่ๆเขาก็รู้แล้วว่าเราป่วย ก็ดูแลเราอย่างดี สักพักพี่นพก็เอาซองขาวมาเรี่ยไรเงินจากชาวคณะเป็นค่าทิปคนขับรถ พร้อมพูดเบาๆว่า Nop Foudation แล้วก็บ่นพึมพำว่าเดี๋ยวจะเอาเงินไปซื้อขนมที่ปั้มมาแบ่งนะทุกคน พี่นพเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วฮามากๆ เราว่าพี่นพเป็นคนน่ารักคนหนึ่งเลยละ ตอนที่แกเรี่ยไรเงินทิปคนขับรถแล้วกัปตันให้เงินใส่ซองมาร้อยนึง เจ๊แกก็ไหว้อย่างงาม ดูแล้วก็น่ารักดี
แต่ก็อย่างว่า นั่งรถไปตั้งพัทยา ต้องมีสักคนละที่ปวดฉิ้งฉ่อง คุณSFSผู้ชายจากอีกไฟล์ทนั่นเอง แต่สงสัยปวดคนเดียวคนขับไม่ยอมจอด เดินมาถามสาวไทยด้านหลังว่ามีใครอยากเข้าห้องน้ำรึเปล่า ซึ่งก็มีเสียงเรียกร้องมากมาย พี่คนขับก็เพิ่งขับผ่านปั้มใหญ่ๆมาสามสี่ปั้ม แต่พวกเราเพิ่งไปบอกเขาว่าจะแวะเมื่อผ่านมันไปแล้ว คราวนี้สิ เวลาเราต้องการอะไรเนี่ยมันก็ไม่มาเนอะ เวลาไม่ต้องการมาแล้วมาอีก พี่นพเธอก็วิงวอนภาวนาขอให้พี่คนขับรถเลือกปั้มที่มีมินิมาร์ทครบครันด้วยเถิด เจ๊แกอาสาเป็นคนรวบรวมเงินไปซื้อขนมมากิน ขับต่อไปเกือบครึ่งชั่วโมงได้กว่าจะเจอปั้มอีกที ทุกคนวิ่งหน้าตั้งลงไปเข้าห้องน้ำ และเรื่องที่เราคิดว่าคนไทยที่ได้อ่านเรื่องต่อไปนี้ จะต้องขำอยู่ในใจแน่ๆ ก็คือ
พอถึงห้องน้ำ ทุกคนนึกสภาพคอห่านแบบตักน้ำราดออกไหมคะ ฝรั่งมาถามว่านั่งยังไง พี่ๆแอร์ไทยก็บอกไปนั่งยองๆ เท่านั้นไม่พอคะ ออกมา ถามเรา “เอ๊ะ ทามม้ายมานม่ายฟลัชลาเนี่ยยูว์ สงสายจาเสียนะยูว์” ไอ้เราก็เดินไปดู โอ้โหเหลืองอ๋อยเชียว ขอโทษนะ อยากให้เห็นภาพตามเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ ไอ้เราก็นึกว่าท่อเต็ม ที่ไหนได้ เขาไปถามพี่อีกคนว่าทำไมมันไม่มีที่กด แล้วน้ำในอ่างนี่เอาไว้ทำอะไร เขาไม่รู้ต่างหากว่าต้องราดน้ำ แอร์ไทยได้ยินเท่านั้นละ ยิ้มย่องแอบขำกันใหญ่ เราเองก็ไม่นึกไม่ฝันนะว่าวันหนึ่งจะมีลูกเรือฝรั่งต้องมาผจญชะตากรรมด้วยกันขนาดนี้ พอเสร็จธุระ พวกเราทุกคนก็เข้ามินิมาร์ทเหมือนแร้งลงทันที พี่นพกวาดทุกอย่างที่ขวางหน้าเพราะดำรงตำแหน่งผู้ว่าการด้านสาธารณูปโภคบนรถ เอาเงินที่ทุกคนลงขันไปซื้อของกินขึ้นรถ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนฉิ่งฉับทัวร์ เหมือนเราไปออกค่ายกันยังไงไม่รู้ สนุกสนานเฮฮามากๆ แต่แล้วความสนุกก็จบลงด้วยเสียงโทรศัพท์และข่าวด่วนว่าให้ทุกคนเปลี่ยนชุดเป็นชุดยูนิฟอร์มก่อนลงที่อู่ตะเภา เพราะทางนั้นเขาจะให้สิทธิลูกเรือได้เข้าก่อน เอาละสิ ทุกคนอยู่ในชุดบ้านๆกันทั้งนั้นเลย
โชคดีที่พวกเรายัดชุดยูนิฟอร์มใส่กระเป๋าCabinตามที่กัปตันสั่งไว้ในห้องบอลรูมแล้ว ก็มีกัปตันคนนึง คงขำๆแหละ ร้องมา “เย้ๆๆ ผมอยากดู เปลี่ยนเลยสาวๆ” แล้วพวกเราก็ต้องเปลี่ยนกันจริงๆนะ ตรงหลังรถนี่แหละ โชคดีที่มันมืด เลยไม่มีคนเห็น สภาพเหมือนสมัยอยู่โรงเรียนที่ต้องเปลี่ยนชุดพละยังไงยังงั้นเลย ได้ข่าวบางคนใส่บราดำมาก็เปลี่ยนบรากันบนรถ เป็นแอร์นี่ต้องพร้อมทุกสถานการณ์จริงๆเนอะ พอรถผ่านป้าย Welcome to Pattaya ก็เฮกันใหญ่ จะขอหยุดเที่ยวทะเลเล่นบานานาโบ๊ทบ้างละ อาบแดดบ้างละ และเมื่อถึงสนามบินอู่ตะเภาซึ่งเราเองก็ไม่เคยไปนะ แต่เราเดาว่ามันคงไม่ได้ดีอย่างสนามบินเพื่อการพาณิชย์หรอก แอร์ฝรั่งก็มาถามเราว่ามันจะมีร้านอาหารไหม เราก็บอกไปเลย ไม่มีแน่นอน มีแต่ยุงให้จับกิน และสภาพที่เห็น ภาพแรกที่ทำให้เราหดหู่มากๆ ก็คือ ภาพนี้
- แนบไฟล์
-

- 4.jpg (37.58 KiB) เปิดดู 15326 ครั้ง