เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทางของแอร์โฮสเตส ตอนที่4.1 "ไฟล์ทเยี่ยมญาติกับกระเป๋าผู้ติดตามชื่อคนสู้ชีวิต @ Melbourne"

Melbourne, Australia
เมื่อไอ้หยอยไปเยี่ยมแว่นแรด เพื่อนสมัยม.ต้น
แอบเห็นเจ้านายคุยกับเพื่อนคนนี้อยู่บ่อยๆว่าจะขอไฟล์ทบินไปหาที่ออสเตรเลีย เพื่อนรักคนนี้เธอรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก อยู่กลุ่มเดียวกันมาจนกระทั่งแยกย้ายกันไปเรียนต่อคนละโรงเรียนตอนม.ปลาย แว่นแรดหรือจี๊สมาเรียนต่อที่ออสเตรเลียตั้งแต่อายุ15 ปี จนกระทั่งปัจจุบันเป็นนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมปีสุดท้ายไปแล้ว
และในที่สุด หยอยก็ได้ไฟล์ทไปMelbourneตามที่ขอไป เธอนัดหมายกับจี๊สอย่างดี คราวนี้คงได้ย้อนความหลังกันที่ออสเตรเลียตามที่เคยสัญญากันไว้แต่เด็กเสียที
พุทธศักราช ๒๕๔๔ (ช่วงก่อนจี๊สจะบินไปเรียนต่อ ครอบครัวเจ้านายชวนจี๊สไปเที่ยวพัทยา)
บทสนทนาระหว่างพ่อเจ้านายและจี๊ส บนรถขณะขับไปเที่ยวพัทยากัน
“ไว้เดือนไหนพ่อส่งให้หยอยเขาไปเยี่ยมจี๊สที่ออสได้ไหมละ จะได้ให้จี๊สพาเที่ยว” พ่อเจ้านายถามจี๊ส
“ได้เลยคะ เดี๋ยวจะดูแลอย่างดี” จี๊สยิ้ม
หลังจากบทสนทนานี้ เจ้านายเองหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ไปเที่ยวเมืองนอกเมืองนาแถมได้เยี่ยมเพื่อนรักไปด้วย แต่แล้ววันเวลาผ่านไป ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกหยุดปิดเทอม เธอยังต้องเรียนพิเศษอยู่เมืองไทยเช่นเดิม โชคดีที่คราวนี้ เธอทำสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อนตั้งแต่วัยเด็กได้แล้ว เธอบินมาเยี่ยมเขาแล้ว แม้จะเป็นปีสุดท้ายก่อนที่เพื่อนรักจะลากลับไทยก็เถอะ
เธอแพคของขวัญเล็กๆน้อยๆไปฝากเพื่อนคนนี้เสียด้วย และแน่นอน มันเป็นหน้าที่ของฉันที่ต้องดูแลสัมภาระเจ้านายให้ดีที่สุด
ช่วงวันหยุดก่อนไป มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ฉันหลับปุ๋ยอยู่ในมุมโปรด เจ้านายย่องเข้ามาหาฉันโดยไม่รู้ตัว สัมผัสตัวฉันเบาๆ เธอลูบฉันอย่างอ่อนโยน เล่นเอาฉันตั้งตัวไม่ถูก กระเป๋าอย่างฉันแม้จะพูดไม่ได้ แต่ก็รู้สึกได้จากสัมผัสอันอ่อนโยนว่าเจ้านายเธอรักฉันมาก
ป๊าบ ป๊าบ ป๊าบ! เจ้านายทุบฉันจนฉันระบมไปหมด ฉันไม่เข้าใจเลย แล้วไอ้ที่ลูบเบาๆเมื่อกี้มันคืออะไร นี่เจ้าจะลูบหัวแล้วตบหลังฉันงั้น เสียแรงที่เราอุตส่าห์รักและเป็นห่วง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการเป็นได้เพียงที่ระบายอารมณ์ของเจ้านายอย่างนั้นเหรอ
นิปปอนเองก็ตกใจกับสิ่งที่เจ้านายทำกับฉัน เพราะหลังจากเธอทุบฉันอย่างแรงแล้ว เธอก็ยิ้มย่องอย่างพอใจราวกับคนโรคจิต แล้วก็หัวเราะอยู่คนเดียว บอกตรงๆ ฉันกลัวว่าเจ้านายจะฟุ้งซ่านจนเครียดเป็นบ้าไป แต่แล้วก็ต้องแปลกใจกับความรู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่บนหน้าผาก อะไรนะ
“คนสู้ชีวิต ตอนกลับไปซ้อมรับปริญญา หาซื้อสติกเกอร์ให้แถบตาย เดินไปในตลาดทีเดียวนะ” เจ้านายพูดกับฉัน
“ต่อไป มีชื่อกับเขาแล้วนะจ้ะ เจ้ากระเป๋าคนสู้ชีวิต”
แม้จะไม่ใช่ชื่อที่หรูหราแถมฟังดูลูกทุ่ง ฉันเองกลับรู้สึกว่าชื่อนี้จะเป็นสิ่งที่บรรยายความเป็นฉันได้ดีที่สุด ฉันไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ฉันจะสู้เคียงข้างเจ้านายให้ถึงที่สุด ให้สมกับที่เจ้านายมอบชื่อนี้ให้ฉัน
เมื่อถึงเวลาขึ้นไฟล์ทไปหาจี๊ส
โชคดีที่หัวหน้าลูกเรือชั้นประหยัดเป็นคนไทย เจ้านายเลยคุยกันถูกคอไป จะทำอะไรพี่เขาก็คอยช่วยเหลือ แต่มาจนถึงไฟล์ทนี้ เจ้านายเองก็เก๋าพอควร บินมาหลายไฟล์ทพอรู้อะไรเป็นอะไร ที่น่าเป็นห่วงคงจะเป็นลูกเรือใหม่ชาวเกาหลี เธอคนนี้ภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยแข็งแรง แถมถูกหัวหน้าลูกเรือจับตาเป็นพิเศษเพราะทำอะไรงกๆเงิ่นๆ(จริงๆแล้วหัวหน้าก็แอบเข้มงวดมากด้วยละ) เลยทำให้น้องเกา(หลี)ดูจะเกร็งๆ
บนไฟล์ทรู้กันดีว่าหัวหน้าค่อนข้างเฮี๊ยบ เลยทำอะไรระมัดระวังกันเป็นพิเศษ ปิดตู้อาหารดังก็ไม่ได้ โดนว่าทุกรายไป ต้องระวังกันทุกคน
แต่การทำงานบนไฟล์ทเกือบ10ชั่วโมงก็ผ่านมาได้ ทุกคนลงเครื่องอย่างเหนื่อยอ่อน กระเป๋าทุกใบก็นอนทับกันจนแทบเป็นตะคริวเลยทีเดียว
ลูกเรือทุกคนลากกระเป๋าตัวเองขึ้นรถเพื่อไปโรงแรม เจ้านายดูใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร ลากฉันไม่ได้ดูทางเลย ล้อฉันระบมไปหมด ก็มัวแต่ส่งข้อความหาจี๊สไปด้วยระหว่างนั้นละสิ
และเมื่อถึงโรงแรม หลังเตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่นาน จี๊สก็มารอรับเพื่อนสนิทอยู่ด้านล่าง เจ้านายไม่ลืมที่จะหยิบของฝากชิ้นที่เธอบรรจงแพคมาอย่างดีจากตัวฉันไปมอบให้เพื่อนรักคนนี้ด้วย
“ไอ้หยอย แกเป็นไงบ้าง”
ไม่ใช่เพียงจี๊สเท่านั้นที่ยังคงใช้ฉายาของเจ้านายในสมัยเด็กในการเรียกชื่อเธอเสมอ ถ้าใครเป็นเพื่อนเธอสมัยเด็กแล้วละก็ เห็นหน้าเจ้านายเป็นอันเรียก หยอย ทุกรายไป และเธอเองก็ต้องการให้เพื่อนเรียกเธอแบบนี้ด้วย มันเป็นเอกลักษณ์ไปแล้ว
“เหนื่อยมากเลย ไฟล์ทยาวไม่ได้นอนเลย คิดถึงแกมากเลยจี๊ส” หยอย ตอบกลับ
หลังจากทักทายกันสักพัก ทั้งสองคนเดินเล่นกันทั่วเมือง จี๊สพาเจ้านายไปดูหาดทรายและชายหาด แย่หน่อยตรงที่อากาศมันหนาวเย็นยะเยือก เธอมาผิดฤดู ก็เท่านั้น อยู่กันได้ไม่นาน เลยต้องเปลี่ยนที่ไปกินอาหารมาเลย์ และเดินเที่ยวย่านช้อปปิ้งสตรีทที่มีร้านขายของแปลกๆและเสื้อผ้าแนวๆ และแน่นอน มาเยี่ยมเพื่อนตั้งแดนไกล จะไม่ไปแวะบ้านเพื่อนสนิทเสียหน่อยคงถือว่ามาไม่ถึง
ทั้งสองคนไปนั่งเล่นพักผ่อนกันที่ห้องพักจี๊ส สักพักก็มีเพื่อนๆคนไทยเด็กนักเรียนนอกมาร่วมแจม เจ้านายยังจำได้ว่านั่งเปิดแผ่นรายการวู๊ดดี้เกิดมาคุยดูกันจนดึก กินขนมไปด้วย สนุกสนานดี แต่ตอนนั้นกระเป๋าอย่างฉันก็เริ่มกังวลว่าเจ้านายควรจะกลับได้แล้ว นี่มันก็เริ่มดึกแล้วนะ อยู่ต่างบ้านต่างเมืองไปไหนมาไหนคนเดียวมันอันตราย
แต่ก็โชคดีที่เพื่อนชาวไทยของจี๊ส กลับทางเดียวกันกับเจ้านายพอดี จี๊สเลยฝากให้เจ้านายกลับมากับเขา ซึ่งก็มารู้ภายหลังว่าเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนเดียวกันกับเจ้านายนั่นเอง มิน่าละคุยกันถูกคอ
เสียงประตูเปิด เจ้านายเดินเข้ามา หน้าตาดูมีความสุข หลังจากนั้นไม่นาน จี๊สก็โทรเข้ามาถามว่ากลับถึงห้องปลอดภัยไหม คุยกันสักพักก็วางสายเพราะพรุ่งนี้เจ้านายต้องทำงานแต่เช้า ไปAuckland, New Zealandต่อ
ก่อนวางเธอไม่ลืมที่จะนัดหมายจี๊สอีกรอบ เพราะหลังจากไปนิวซีแลนด์ เธอยังต้องกลับมาค้างที่ออสเตรเลียอีกคืน คราวนี้จี๊สวางแผนพาเที่ยวไว้แล้วอย่างดี
แต่ไปนิวซีแลนด์นี่สิ จะไปเดินเที่ยวกับใครดี?
พูดถึงนิวซีแลนด์ คนก็ต้องนึกถึงแกะ แต่ตั้งแต่เครื่องจอด ยังไม่มีแกะมาร้อง แบะ แบะ สักตัว
มานิวซีแลนด์ครั้งแรก แต่กลับต้องออกไปเดินเที่ยวคนเดียวเพราะลูกเรือคนอื่นขอนอนพักผ่อนกันหมด แต่เจ้านายเธอก็ไม่หวั่น เดินเที่ยวคนเดียวนี่แหละ เดินไกลเสียด้วย เป็นกิโลได้เลย
เธอเดินไปตามทาง แต่เดินไปเดินมาก็เริ่มรู้สึกว่าเหมือนเดินอยู่บนเขายังไงยังงั้น ถนนหนทางของเขาจะเป็นตารางแบบใยแมงมุมคือ เหมือนเราตีตารางสี่เหลี่ยมให้เต็มหน้ากระดาษนั่นแหละ เดินไปช่องหนึ่งก็จะเจอสี่แยกหนึ่ง แต่ที่บั่นทอนกำลังกายก็คือทางเดินที่ทั้งชันเหมือนทางขึ้นเขา และลาดลงเหมือนสไลเดอร์ เรียกว่าถ้ากำลังขาไม่แข็งนี่ก็เล่นเอาเปื่อยได้เหมือนกัน แถมลมยังแรงอีก แม้จะเดินเที่ยวไปชมเมืองถ่ายรูปเล่นคนเดียว แต่ก็ดูเจ้านายเธอจะสุขใจอย่างบอกไม่ถูก เมืองที่ดูเงียบๆสงบๆ แถมวิวสวยๆและผู้คนน่ารัก มันทำให้เธอมีกำลังใจเดินต่อไปจนสุดถนน มองไปไกลๆจะเป็นสะพานข้ามไปอีกเมือง ใหญ่ราวๆสะพานแม่น้ำโขงได้เลย เธอยืนอยู่ริมแม่น้ำสักพักใหญ่ เก็บวิวบันทึกความงามลงในความทรงจำของเธอ แล้วก็ต้องวิ่งกลับ เพราะลมหนาวจะทำให้เธอเป็นไข้เสียก่อน เธอประทับใจวิวทิวทัศน์ที่นี่มากๆ ฉันดูออกว่าเธอสนุกแม้จะเป็นการเดินเที่ยวคนเดียว บางทีคนเราไม่ต้องมีใครอยู่เคียงข้างก็มีความสุขได้ แต่ฉันมั่นใจว่า เธอจะมีความสุขกว่านี้ ถ้าครอบครัวที่รักของเธอมาร่วมแชร์ความสุขกับเธอที่นี้ด้วย ฉันรู้นะ ทุกครั้งที่เธอหยุดมองวิว ใจเธอคิดถึงคนที่บ้านเสมอ ดวงตาเธอมันฟ้อง
เจ้านายซื้อของกินเล็กๆน้อยๆกลับไปห้องเพื่อเพิ่มพลังก่อนทำไฟล์ทกลับไปเจอจี๊ส หลังจากจัดการยัดอาหารลงท้อง เธอก็หลับตามคอนเซ็ปต์ที่ว่า “นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นแดก” (อุ๊บส์)
แม้การมาโอ๊คแลนด์ นิวซีแลนด์ครั้งนี้จะไม่มีแกะสักตัวเดินผ่านอย่างที่เธอวาดภาพไว้ แต่ก็ยังดี ที่ยังมีกลุ่มนักเรียนหนุ่มไฮสคูลเดินผ่านหน้ารถบัสที่เจ้านายนั่งให้มันกระชุ่มกระชวยใจบ้าง
พวกเราบินกลับออสเตรเลียอย่างปลอดภัย แถมมาด้วยอาการปวดกล้ามเนื้อขาของเจ้านายเพราะการเดินเที่ยวทั้งวันนั่นเอง พรุ่งนี้ เธอยังต้องไปตระเวนกับจี๊สอีก อย่าป่วยเสียก่อนละ โอกาสเจอเพื่อนวัยกระเตาะมีไม่บ่อยนักนะ
วันรุ่งขึ้น จี๊สมารอเจ้านายที่โรงแรมเหมือนเดิมแต่เช้า เริ่มด้วยการไปกินอาการไทยเล็กๆน้อยๆแล้วก็ไปเยี่ยมชมตึกสูงระฟ้าของเมวเบิน SKYDECK ถ่ายรูปกันจนโปร่งไปหมด ได้ไปอยู่ห้องกระจกมองเห็นทะลุพื้นที่อยู่สูงจากชั้นล่างเกือบร้อยชั้น เห็นว่าตอนขึ้นลิฟท์กลืนน้ำลายแก้หูอื้อกันไม่ทันทีเดียว เพราะลิฟท์นั้นความเร็วสูงทีเดียว สนุกสนานกันที่นี่ ก็ไปต่อที่ห้างoutlet เจ้านายได้รองเท้าสีเขียวปรี๊ดมาคู่หนึ่งซึ่งมาทราบทีหลังว่าราคาแถงกว่าที่ไทยห้าเท่าตัว แต่เธอก็ทำใจได้ด้วยคุณภาพที่ดีกว่ามากและยี่ห้อที่แปะว่าMADE IN CHINAแม้จะซื้อมาจากออสเตรเลียก็ตาม ฮ่าๆ
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เมื่อฟ้าเริ่มมืด มันเป็นสัญญาณว่า เวลาที่เพื่อนเก่าสองคนจะได้เจอกันใกล้หมดเต็มที คนหนึ่งต้องอยู่ต่อที่นี่ ส่วนอีกคนหนึ่งต้องจากไป จี๊สพาเจ้านายไปซื้อขนมในร้านขายของชำเล็กๆ หลังจากนั้นก็กินอาหารมื้อสุดท้ายด้วยกัน แล้วก็แยกย้าย ทั้งสองกล่าวคำลา จี๊สคงไม่รู้หรอกว่า การที่เจ้านายได้มาเยี่ยมจี๊สครั้งนี้มันมีความหมายแค่ไหน อาชีพแอร์โอสเตสเนี่ย เห็นได้เที่ยวไปทั่วโลก แต่ใครไม่มาสัมผัสคงไม่รู้หรอกว่า ในความโชคดีหรูหรานี้ก็มีความเหงาปนอยู่ด้วยทุกครั้งไป ทุกครั้งที่ได้ไปที่ใหม่ๆ มันเหมือนเราอยู่ตัวคนเดียว แม้จะมีเพื่อนลูกเรือไปด้วยเป็นฝูง แต่คนเหล่านั้นเป็นแค่เพื่อนเฉพาะกิจเท่านั้น จบไฟล์ทก็แยกย้ายกลับบ้านนอน แต่เพื่อนที่เรารู้จักกันมาแต่เด็ก เพื่อนที่เราเคยไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ เป็นเพื่อนที่หลังจากแยกย้ายกันหลังไปเที่ยวแล้วเรายังติดต่อกันเสมอ เราไม่เคยลืมกัน ดังนั้นการที่เจ้านายได้เจอจี๊สครั้งนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการได้ชาร์จแบตเตอรี่เติมพลังให้ใจ ทริปนี้มีความหมายมากๆต่อเจ้านายจริงๆ ขอบคุณจี๊สที่ช่วยเพิ่มความสุขให้กับเจ้านาย หวังว่าพวกเราคงได้เจอเธออีกนะ
NOTE : รายงานล่าสุดว่า ตอนนี้จี๊สเรียนจบปริญญาตรี และไปต่อโทที่ปักกิ่งแล้ว เจ้านายพยายามหาไฟล์ทไปเยี่ยมจี๊สที่จีนแต่ก็ไม่สำเร็จ
เมื่อไอ้หยอยไปเยี่ยมแว่นแรด เพื่อนสมัยม.ต้น
แอบเห็นเจ้านายคุยกับเพื่อนคนนี้อยู่บ่อยๆว่าจะขอไฟล์ทบินไปหาที่ออสเตรเลีย เพื่อนรักคนนี้เธอรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก อยู่กลุ่มเดียวกันมาจนกระทั่งแยกย้ายกันไปเรียนต่อคนละโรงเรียนตอนม.ปลาย แว่นแรดหรือจี๊สมาเรียนต่อที่ออสเตรเลียตั้งแต่อายุ15 ปี จนกระทั่งปัจจุบันเป็นนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมปีสุดท้ายไปแล้ว
และในที่สุด หยอยก็ได้ไฟล์ทไปMelbourneตามที่ขอไป เธอนัดหมายกับจี๊สอย่างดี คราวนี้คงได้ย้อนความหลังกันที่ออสเตรเลียตามที่เคยสัญญากันไว้แต่เด็กเสียที
พุทธศักราช ๒๕๔๔ (ช่วงก่อนจี๊สจะบินไปเรียนต่อ ครอบครัวเจ้านายชวนจี๊สไปเที่ยวพัทยา)
บทสนทนาระหว่างพ่อเจ้านายและจี๊ส บนรถขณะขับไปเที่ยวพัทยากัน
“ไว้เดือนไหนพ่อส่งให้หยอยเขาไปเยี่ยมจี๊สที่ออสได้ไหมละ จะได้ให้จี๊สพาเที่ยว” พ่อเจ้านายถามจี๊ส
“ได้เลยคะ เดี๋ยวจะดูแลอย่างดี” จี๊สยิ้ม
หลังจากบทสนทนานี้ เจ้านายเองหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ไปเที่ยวเมืองนอกเมืองนาแถมได้เยี่ยมเพื่อนรักไปด้วย แต่แล้ววันเวลาผ่านไป ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกหยุดปิดเทอม เธอยังต้องเรียนพิเศษอยู่เมืองไทยเช่นเดิม โชคดีที่คราวนี้ เธอทำสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อนตั้งแต่วัยเด็กได้แล้ว เธอบินมาเยี่ยมเขาแล้ว แม้จะเป็นปีสุดท้ายก่อนที่เพื่อนรักจะลากลับไทยก็เถอะ
เธอแพคของขวัญเล็กๆน้อยๆไปฝากเพื่อนคนนี้เสียด้วย และแน่นอน มันเป็นหน้าที่ของฉันที่ต้องดูแลสัมภาระเจ้านายให้ดีที่สุด
ช่วงวันหยุดก่อนไป มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ฉันหลับปุ๋ยอยู่ในมุมโปรด เจ้านายย่องเข้ามาหาฉันโดยไม่รู้ตัว สัมผัสตัวฉันเบาๆ เธอลูบฉันอย่างอ่อนโยน เล่นเอาฉันตั้งตัวไม่ถูก กระเป๋าอย่างฉันแม้จะพูดไม่ได้ แต่ก็รู้สึกได้จากสัมผัสอันอ่อนโยนว่าเจ้านายเธอรักฉันมาก
ป๊าบ ป๊าบ ป๊าบ! เจ้านายทุบฉันจนฉันระบมไปหมด ฉันไม่เข้าใจเลย แล้วไอ้ที่ลูบเบาๆเมื่อกี้มันคืออะไร นี่เจ้าจะลูบหัวแล้วตบหลังฉันงั้น เสียแรงที่เราอุตส่าห์รักและเป็นห่วง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการเป็นได้เพียงที่ระบายอารมณ์ของเจ้านายอย่างนั้นเหรอ
นิปปอนเองก็ตกใจกับสิ่งที่เจ้านายทำกับฉัน เพราะหลังจากเธอทุบฉันอย่างแรงแล้ว เธอก็ยิ้มย่องอย่างพอใจราวกับคนโรคจิต แล้วก็หัวเราะอยู่คนเดียว บอกตรงๆ ฉันกลัวว่าเจ้านายจะฟุ้งซ่านจนเครียดเป็นบ้าไป แต่แล้วก็ต้องแปลกใจกับความรู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่บนหน้าผาก อะไรนะ
“คนสู้ชีวิต ตอนกลับไปซ้อมรับปริญญา หาซื้อสติกเกอร์ให้แถบตาย เดินไปในตลาดทีเดียวนะ” เจ้านายพูดกับฉัน
“ต่อไป มีชื่อกับเขาแล้วนะจ้ะ เจ้ากระเป๋าคนสู้ชีวิต”
แม้จะไม่ใช่ชื่อที่หรูหราแถมฟังดูลูกทุ่ง ฉันเองกลับรู้สึกว่าชื่อนี้จะเป็นสิ่งที่บรรยายความเป็นฉันได้ดีที่สุด ฉันไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ฉันจะสู้เคียงข้างเจ้านายให้ถึงที่สุด ให้สมกับที่เจ้านายมอบชื่อนี้ให้ฉัน
เมื่อถึงเวลาขึ้นไฟล์ทไปหาจี๊ส
โชคดีที่หัวหน้าลูกเรือชั้นประหยัดเป็นคนไทย เจ้านายเลยคุยกันถูกคอไป จะทำอะไรพี่เขาก็คอยช่วยเหลือ แต่มาจนถึงไฟล์ทนี้ เจ้านายเองก็เก๋าพอควร บินมาหลายไฟล์ทพอรู้อะไรเป็นอะไร ที่น่าเป็นห่วงคงจะเป็นลูกเรือใหม่ชาวเกาหลี เธอคนนี้ภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยแข็งแรง แถมถูกหัวหน้าลูกเรือจับตาเป็นพิเศษเพราะทำอะไรงกๆเงิ่นๆ(จริงๆแล้วหัวหน้าก็แอบเข้มงวดมากด้วยละ) เลยทำให้น้องเกา(หลี)ดูจะเกร็งๆ
บนไฟล์ทรู้กันดีว่าหัวหน้าค่อนข้างเฮี๊ยบ เลยทำอะไรระมัดระวังกันเป็นพิเศษ ปิดตู้อาหารดังก็ไม่ได้ โดนว่าทุกรายไป ต้องระวังกันทุกคน
แต่การทำงานบนไฟล์ทเกือบ10ชั่วโมงก็ผ่านมาได้ ทุกคนลงเครื่องอย่างเหนื่อยอ่อน กระเป๋าทุกใบก็นอนทับกันจนแทบเป็นตะคริวเลยทีเดียว
ลูกเรือทุกคนลากกระเป๋าตัวเองขึ้นรถเพื่อไปโรงแรม เจ้านายดูใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร ลากฉันไม่ได้ดูทางเลย ล้อฉันระบมไปหมด ก็มัวแต่ส่งข้อความหาจี๊สไปด้วยระหว่างนั้นละสิ
และเมื่อถึงโรงแรม หลังเตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่นาน จี๊สก็มารอรับเพื่อนสนิทอยู่ด้านล่าง เจ้านายไม่ลืมที่จะหยิบของฝากชิ้นที่เธอบรรจงแพคมาอย่างดีจากตัวฉันไปมอบให้เพื่อนรักคนนี้ด้วย
“ไอ้หยอย แกเป็นไงบ้าง”
ไม่ใช่เพียงจี๊สเท่านั้นที่ยังคงใช้ฉายาของเจ้านายในสมัยเด็กในการเรียกชื่อเธอเสมอ ถ้าใครเป็นเพื่อนเธอสมัยเด็กแล้วละก็ เห็นหน้าเจ้านายเป็นอันเรียก หยอย ทุกรายไป และเธอเองก็ต้องการให้เพื่อนเรียกเธอแบบนี้ด้วย มันเป็นเอกลักษณ์ไปแล้ว
“เหนื่อยมากเลย ไฟล์ทยาวไม่ได้นอนเลย คิดถึงแกมากเลยจี๊ส” หยอย ตอบกลับ
หลังจากทักทายกันสักพัก ทั้งสองคนเดินเล่นกันทั่วเมือง จี๊สพาเจ้านายไปดูหาดทรายและชายหาด แย่หน่อยตรงที่อากาศมันหนาวเย็นยะเยือก เธอมาผิดฤดู ก็เท่านั้น อยู่กันได้ไม่นาน เลยต้องเปลี่ยนที่ไปกินอาหารมาเลย์ และเดินเที่ยวย่านช้อปปิ้งสตรีทที่มีร้านขายของแปลกๆและเสื้อผ้าแนวๆ และแน่นอน มาเยี่ยมเพื่อนตั้งแดนไกล จะไม่ไปแวะบ้านเพื่อนสนิทเสียหน่อยคงถือว่ามาไม่ถึง
ทั้งสองคนไปนั่งเล่นพักผ่อนกันที่ห้องพักจี๊ส สักพักก็มีเพื่อนๆคนไทยเด็กนักเรียนนอกมาร่วมแจม เจ้านายยังจำได้ว่านั่งเปิดแผ่นรายการวู๊ดดี้เกิดมาคุยดูกันจนดึก กินขนมไปด้วย สนุกสนานดี แต่ตอนนั้นกระเป๋าอย่างฉันก็เริ่มกังวลว่าเจ้านายควรจะกลับได้แล้ว นี่มันก็เริ่มดึกแล้วนะ อยู่ต่างบ้านต่างเมืองไปไหนมาไหนคนเดียวมันอันตราย
แต่ก็โชคดีที่เพื่อนชาวไทยของจี๊ส กลับทางเดียวกันกับเจ้านายพอดี จี๊สเลยฝากให้เจ้านายกลับมากับเขา ซึ่งก็มารู้ภายหลังว่าเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนเดียวกันกับเจ้านายนั่นเอง มิน่าละคุยกันถูกคอ
เสียงประตูเปิด เจ้านายเดินเข้ามา หน้าตาดูมีความสุข หลังจากนั้นไม่นาน จี๊สก็โทรเข้ามาถามว่ากลับถึงห้องปลอดภัยไหม คุยกันสักพักก็วางสายเพราะพรุ่งนี้เจ้านายต้องทำงานแต่เช้า ไปAuckland, New Zealandต่อ
ก่อนวางเธอไม่ลืมที่จะนัดหมายจี๊สอีกรอบ เพราะหลังจากไปนิวซีแลนด์ เธอยังต้องกลับมาค้างที่ออสเตรเลียอีกคืน คราวนี้จี๊สวางแผนพาเที่ยวไว้แล้วอย่างดี
แต่ไปนิวซีแลนด์นี่สิ จะไปเดินเที่ยวกับใครดี?
พูดถึงนิวซีแลนด์ คนก็ต้องนึกถึงแกะ แต่ตั้งแต่เครื่องจอด ยังไม่มีแกะมาร้อง แบะ แบะ สักตัว
มานิวซีแลนด์ครั้งแรก แต่กลับต้องออกไปเดินเที่ยวคนเดียวเพราะลูกเรือคนอื่นขอนอนพักผ่อนกันหมด แต่เจ้านายเธอก็ไม่หวั่น เดินเที่ยวคนเดียวนี่แหละ เดินไกลเสียด้วย เป็นกิโลได้เลย
เธอเดินไปตามทาง แต่เดินไปเดินมาก็เริ่มรู้สึกว่าเหมือนเดินอยู่บนเขายังไงยังงั้น ถนนหนทางของเขาจะเป็นตารางแบบใยแมงมุมคือ เหมือนเราตีตารางสี่เหลี่ยมให้เต็มหน้ากระดาษนั่นแหละ เดินไปช่องหนึ่งก็จะเจอสี่แยกหนึ่ง แต่ที่บั่นทอนกำลังกายก็คือทางเดินที่ทั้งชันเหมือนทางขึ้นเขา และลาดลงเหมือนสไลเดอร์ เรียกว่าถ้ากำลังขาไม่แข็งนี่ก็เล่นเอาเปื่อยได้เหมือนกัน แถมลมยังแรงอีก แม้จะเดินเที่ยวไปชมเมืองถ่ายรูปเล่นคนเดียว แต่ก็ดูเจ้านายเธอจะสุขใจอย่างบอกไม่ถูก เมืองที่ดูเงียบๆสงบๆ แถมวิวสวยๆและผู้คนน่ารัก มันทำให้เธอมีกำลังใจเดินต่อไปจนสุดถนน มองไปไกลๆจะเป็นสะพานข้ามไปอีกเมือง ใหญ่ราวๆสะพานแม่น้ำโขงได้เลย เธอยืนอยู่ริมแม่น้ำสักพักใหญ่ เก็บวิวบันทึกความงามลงในความทรงจำของเธอ แล้วก็ต้องวิ่งกลับ เพราะลมหนาวจะทำให้เธอเป็นไข้เสียก่อน เธอประทับใจวิวทิวทัศน์ที่นี่มากๆ ฉันดูออกว่าเธอสนุกแม้จะเป็นการเดินเที่ยวคนเดียว บางทีคนเราไม่ต้องมีใครอยู่เคียงข้างก็มีความสุขได้ แต่ฉันมั่นใจว่า เธอจะมีความสุขกว่านี้ ถ้าครอบครัวที่รักของเธอมาร่วมแชร์ความสุขกับเธอที่นี้ด้วย ฉันรู้นะ ทุกครั้งที่เธอหยุดมองวิว ใจเธอคิดถึงคนที่บ้านเสมอ ดวงตาเธอมันฟ้อง
เจ้านายซื้อของกินเล็กๆน้อยๆกลับไปห้องเพื่อเพิ่มพลังก่อนทำไฟล์ทกลับไปเจอจี๊ส หลังจากจัดการยัดอาหารลงท้อง เธอก็หลับตามคอนเซ็ปต์ที่ว่า “นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นแดก” (อุ๊บส์)
แม้การมาโอ๊คแลนด์ นิวซีแลนด์ครั้งนี้จะไม่มีแกะสักตัวเดินผ่านอย่างที่เธอวาดภาพไว้ แต่ก็ยังดี ที่ยังมีกลุ่มนักเรียนหนุ่มไฮสคูลเดินผ่านหน้ารถบัสที่เจ้านายนั่งให้มันกระชุ่มกระชวยใจบ้าง
พวกเราบินกลับออสเตรเลียอย่างปลอดภัย แถมมาด้วยอาการปวดกล้ามเนื้อขาของเจ้านายเพราะการเดินเที่ยวทั้งวันนั่นเอง พรุ่งนี้ เธอยังต้องไปตระเวนกับจี๊สอีก อย่าป่วยเสียก่อนละ โอกาสเจอเพื่อนวัยกระเตาะมีไม่บ่อยนักนะ
วันรุ่งขึ้น จี๊สมารอเจ้านายที่โรงแรมเหมือนเดิมแต่เช้า เริ่มด้วยการไปกินอาการไทยเล็กๆน้อยๆแล้วก็ไปเยี่ยมชมตึกสูงระฟ้าของเมวเบิน SKYDECK ถ่ายรูปกันจนโปร่งไปหมด ได้ไปอยู่ห้องกระจกมองเห็นทะลุพื้นที่อยู่สูงจากชั้นล่างเกือบร้อยชั้น เห็นว่าตอนขึ้นลิฟท์กลืนน้ำลายแก้หูอื้อกันไม่ทันทีเดียว เพราะลิฟท์นั้นความเร็วสูงทีเดียว สนุกสนานกันที่นี่ ก็ไปต่อที่ห้างoutlet เจ้านายได้รองเท้าสีเขียวปรี๊ดมาคู่หนึ่งซึ่งมาทราบทีหลังว่าราคาแถงกว่าที่ไทยห้าเท่าตัว แต่เธอก็ทำใจได้ด้วยคุณภาพที่ดีกว่ามากและยี่ห้อที่แปะว่าMADE IN CHINAแม้จะซื้อมาจากออสเตรเลียก็ตาม ฮ่าๆ
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เมื่อฟ้าเริ่มมืด มันเป็นสัญญาณว่า เวลาที่เพื่อนเก่าสองคนจะได้เจอกันใกล้หมดเต็มที คนหนึ่งต้องอยู่ต่อที่นี่ ส่วนอีกคนหนึ่งต้องจากไป จี๊สพาเจ้านายไปซื้อขนมในร้านขายของชำเล็กๆ หลังจากนั้นก็กินอาหารมื้อสุดท้ายด้วยกัน แล้วก็แยกย้าย ทั้งสองกล่าวคำลา จี๊สคงไม่รู้หรอกว่า การที่เจ้านายได้มาเยี่ยมจี๊สครั้งนี้มันมีความหมายแค่ไหน อาชีพแอร์โอสเตสเนี่ย เห็นได้เที่ยวไปทั่วโลก แต่ใครไม่มาสัมผัสคงไม่รู้หรอกว่า ในความโชคดีหรูหรานี้ก็มีความเหงาปนอยู่ด้วยทุกครั้งไป ทุกครั้งที่ได้ไปที่ใหม่ๆ มันเหมือนเราอยู่ตัวคนเดียว แม้จะมีเพื่อนลูกเรือไปด้วยเป็นฝูง แต่คนเหล่านั้นเป็นแค่เพื่อนเฉพาะกิจเท่านั้น จบไฟล์ทก็แยกย้ายกลับบ้านนอน แต่เพื่อนที่เรารู้จักกันมาแต่เด็ก เพื่อนที่เราเคยไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ เป็นเพื่อนที่หลังจากแยกย้ายกันหลังไปเที่ยวแล้วเรายังติดต่อกันเสมอ เราไม่เคยลืมกัน ดังนั้นการที่เจ้านายได้เจอจี๊สครั้งนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการได้ชาร์จแบตเตอรี่เติมพลังให้ใจ ทริปนี้มีความหมายมากๆต่อเจ้านายจริงๆ ขอบคุณจี๊สที่ช่วยเพิ่มความสุขให้กับเจ้านาย หวังว่าพวกเราคงได้เจอเธออีกนะ
NOTE : รายงานล่าสุดว่า ตอนนี้จี๊สเรียนจบปริญญาตรี และไปต่อโทที่ปักกิ่งแล้ว เจ้านายพยายามหาไฟล์ทไปเยี่ยมจี๊สที่จีนแต่ก็ไม่สำเร็จ