โดย djsoloabs » วันศุกร์ ก.ค. 23, 2010 10:49 pm
ว่างๆเลยเอามาให้อ่านเล่นๆจ้ะ
สวัสดีจ้ะ ฉันเป็นกระเป๋าเดินทางสีดำยี่ห้อSamsonite รุ่นดึกดำบรรพ์ที่ถูกผลิตออกมาเพื่อแอร์โฮสเตสของสายการบินอาหรับรูปร่างหน้าตาของฉัน ก็เหมือนกับกระเป๋าเดินทางเบสิคทั่วไป คล้ายกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำขนาดกลาง มีหูและล้อสองล้อ
ฉันตั้งใจแล้วว่า แม้ฉันจะไม่ได้อยากเกิดมาเป็นกระเป๋าเดินทางของแอร์โฮสเตส แต่ฉันก็จะอดทนทำงานจนหมดอายุการใช้งานของฉัน ให้ผู้ผลิตภูมิใจในกระเป๋าเบสิคๆอย่างตัวฉันนี่ละ
.
..
...
วันนี้เป็นวันแรก ที่ฉันจะได้เจอกับเจ้าของของฉัน เขาจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงนะ หน้าตาเป็นอย่างไร แล้วจะดูแลฉันอย่างทะนุทนอมไหม กังวลจังเลย!!
พวกเราชาวกระเป๋าSamsoniteรุ่นCabin Crewทั้งหมดจำนวนกว่าร้อยใบถูกเรียงตั้งอยู่ตรงโถงตึกTraining College ตรงหูหิ้วมีป้ายชื่อแปะบอกว่ากระเป๋าใบไหนมีเจ้าของชื่ออะไร
"แต่ฉันมองไม่เห็น แย่จัง ฉันมองไม่เห็นชื่อเจ้าของ จึงได้แต่รอว่า หน้าตาเจ้าของฉันจะเป็นอย่างไร"
พวกเรารออย่างใจจดใจจ่อ ตื่นเต้นแต่ไม่แสดงอาการ และในที่สุด เหล่าแอร์โฮสเตสและสจ๊วตทั้งหลายก็เดินมาหากระเป๋าเดินทางที่มีชื่อตัวเองติดอยู่
คนไหนนะ เจ้าของฉัน?
รอแล้วรอเล่า...
ก็รอแล้วรออีก...
"นี่ไง กระเป๋าเรา" เสียงแอร์คนหนึ่งพูดดังขึ้น
แล้วเธอก็หยิบหูฉัน ตรวจสอบสภาพ แล้วลากฉันออกไปจากกลุ่มเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน ฉันรู้สึกได้ถึงมือเล็กๆที่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญของเธอ และฉันเองก็รู้สึกภูมิใจที่จะได้ร่วมงานกับเธอ เจ้าของของฉัน
และนี่ ก็เป็นครั้งสุดท้าย ที่ฉันต้องจากลาจากเพื่อนกระเป๋ารุ่นเดียวกันทั้งหมดร้อยกว่าใบ พวกเราต่างแยกย้ายออกไปทำหน้าที่ของแต่ละคน
ปล. วันแรก เจ้าของของฉัน หลังจากที่วางฉันไว้สักพักหนึ่งแล้วออกไปคุยกับเพื่อนๆแอร์ เธอก็กลับมาหาฉันไม่เจอ ฉันเริ่มหวั่นใจว่าเราจะไปกันรอดไหม เธอจะดูแลฉันได้ดีแค่ไหน แต่ไม่ว่าอย่างไร ฉันจะดูแลเสื้อผ้าของเธอที่อยู่ในตัวฉันให้ดีที่สุด ฉันสัญญาว่าจะเป็นกระเป๋าที่ดี ฉันจะอดทน
เมื่อกลับถึงบ้าน เจ้านายของฉันจัดแจงตั้งล็อคเพื่อปกป้องตัวฉัน ติดสติ๊กเกอร์บนล้อเพื่อให้ฉันดูแตกต่างจากเพื่อนๆกระเป๋าใบอื่น ฉันเริ่มคุ่นเคยกับเธอมากขึ้น และมั่นใจว่าเธอจะดูแลฉันเป็นอย่างดี
"นี่เธอ นี่ๆ ฉันอยู่นี่" เสียงดังมาจากมุมห้อง
"ฉันอยู่นี่ กระเป๋าลากเอง มองมาทางนี้สิ"
เมื่อมองไปก็เห็นกระเป๋าลากCabin crew bagตั้งอยู่ ที่กระเป๋ามีสติ๊กเกอร์เขียนว่า NIPPON ถามไปถามมา จึงรู้ว่าเป็นชื่อที่เจ้านายเธอตั้งให้
ฉันเริ่มรู้สึกน้อยใจ ที่เจ้านายไม่เคยตั้งชื่อให้ฉันเลย
และแล้วการทำงานวันแรกของฉันก็เริ่มต้นขึ้น สถานที่Layoverที่แรกของเจ้านาย BKK
เธอพับเสื้อผ้าใส่ตัวฉันอย่างดี แล้วเขียนป้ายtag ว่าไปBKK เมื่อไปถึงที่ตึกของสายการบิน ฉันเจอพองเพื่อนกระเป๋าดำมากมาย แต่ก็ไม่ได้ทักทายอะไรมาก มีทั้งรุ่นพี่และเพื่อนๆ ต่างใบไปต่างที่ บางใบยิ้มแย้มมาเชียวเพราะได้ไปยุโรป แต่บางใบก็หน้ามุ่ยมาเพราะไปJNB เขาว่าที่นั่นโยนกระเป๋ากันบาดเจ็บมานักต่อนัก ส่วนฉันได้ไปบ้านเกิดเจ้านาย ดีใจจังเลย ได้ไปเจอพ่อแม่เจ้านาย แต่ก็รู้ตัวว่าขากลับต้องแบกภาระหนักแน่ๆ แล้วก็คาดไม่ผิด
...............ไฟล์ทแรก กรุงเทพ...............
ตอนที่มาถึงกรุงเทพ เธอดูเบิกบานเป็นพิเศษ ไม่เหมือนตอนอยู่บนเครื่อง หน้าตาเธอดูเกร็งๆกลัวๆคงเพราะเพราะประหม่า โชคดีที่Purserเป็นคนไทย และก็มีรุ่นพี่ในBusiness Classก็เป็นคนไทย เธอเลยได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ไม่เพียงสองคนนี้เท่านั้น แอร์คนอื่นๆทั้งจีน ฝรั่ง แขก พอรู้ว่าบินไฟล์ทแรกก็ช่วยแนะนำเธอไปทุกอย่าง เธอยิ้มแป้นเลยทีเดียวแม้จะหวั่นๆอยู่บ้าง
เมื่อถึงเมืองไทย เธอลากฉันไปตามเพื่อนๆแอร์ ทั้งเธอและฉันก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน แอร์ก็ใหม่ กระเป๋าก็ใหม่ หน้าที่ของเธอจบไปแล้วเมื่อเครื่องจอด แต่หน้าที่ของฉันยังไม่จบจนกว่าเธอจะถึงบ้าน
คนขับรถจับฉันยัดใส่ใต้รถ ในนั้นร้อนและอึดอัด ต้องอยู่ในที่แคบๆกับเพื่อนๆกระเป๋าใบอื่น บางใบก็หนักแสนหนักแถมมานอนทับตัวเราอีก ไม่ชอบเลย แต่มันเป็นหน้าที่
เมื่อรถถึงโรงแรม เจ้านายชะเง้อมองหาใครไม่รู้ พอเจอก็โบกไม้โบกมือยิ้มยกใหญ่ แล้วเธอก็รีบวิ่งมาดึงฉันไปหา “พ่อของเธอ”
เธอลาเพื่อนๆแอร์ พร้อมนัดหมายเวลาPick upพรุ่งนี้ที่จะต้องกลับอาหรับ เวลาแห่งความสุขของเธอช่างน้อยเหลือเกิน แต่เธอก็ยังดีใจที่อย่างน้อยยังได้กลับบ้าน อย่ารอช้าเลย เธอรีบลากฉันตามพ่อไปขึ้นรถ
เมื่อถึงบ้าน ประตูบ้านก็เลื่อนเปิดรอรับเธอ เธอรีบลงจากรถ วิ่งไปหาคนที่เปิดประตูบ้านรอรับเธออยู่ เธอเรียกผู้หญิงคนนั้นว่า “แม่” ฉันแอบสังเกตเห็นว่า แม่ของเธอตาแดงๆ เธอเองก็เช่นกัน
หลังจากนั้น เธอก็วิ่งไปหาหญิงชราอีกคนที่เธอเรียกว่า “ยาย” เธอยกมือไหว้ยาย แล้วก็กอดและหอมแก้มยายยกใหญ่ ยายก็กอดเธอแน่น ฉันจำได้ว่า เธอเคยบ่นอยู่เสมอว่าเป็นห่วงยาย กลัวยายไม่สบายแล้วจะไม่มีคนพาไปหาหมอ วันนี้เพิ่งได้เจอตัวจริงของยาย บอกได้คำเดียวว่า คุณยายยังแข็งแรงอยู่ สบายมาก
เจ้าหมาสองตัว เจเจ และเอบีเห่าลั่นแสดงความดีใจที่ได้เจอเจ้านายของมันอีกครั้ง เธอทักทายเจ้าสองตัวสักครู่แล้วก็เข้าบ้าน
เมื่อเข้าไปในบ้าน ทั้งเธอและฉันต่างตกใจกับรูปภาพที่พ่อของเธอปริ้นท์แล้วเอามาใส่กรอบรูปนับสิบ ทุกรูปล้วนแล้วแต่เป็นรูปเธอทั้งสิ้น พ่อพูดว่า ช่วงที่เธอไม่อยู่ พ่อคิดถึงเธอมาก ทุกค่ำจะไปนั่งรอโทรศัพท์จากเธอที่ตรงศาลากลางสวน ทุกเย็นเมื่อกลับมาบ้าน ไม่มีลูกสาวอยู่ด้วยเหมือนก่อน กินข้าวกับแม่สองคนเงียบๆเหงาๆ ฉันฟังแล้ว แม้ฉันจะเป็นเพียงกระเป๋าแต่ก็เข้าใจความรู้สึกเป็นห่วงของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีลูกสาวคนเดียว
คืนนี้ เธอได้กินแกงส้มผักกะเฉดของโปรดสมใจ พ่อแม่และยายนั่งมองเธอกินอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมชื่นชมลูกสาวในเครื่องแบบแอร์อาหรับว่าสวยน่ารัก เธอเองก็เล่าเรื่องราวต่างๆช่วงเทรนอย่างสนุกสนาน เรื่องเพื่อนๆ เรื่องเมืองอาหรับ
วันรุ่งขึ้นมีอีกสองคนแปลกหน้ามาที่บ้าน เธอเรียกพวกเขาว่า“ป้ากับลุง” พวกเขาขับรถมาไกลเพื่อมาเจอเธอและเยี่ยมยาย เธอเปิดคอมพิวเตอร์โชว์รูปที่ถ่ายช่วงเทรนให้ทุกคนดู พุดคุยกันได้สักพักใหญ่ ป้ากับลุงก็เป็นอันต้องกลับ เพราะบ้านอยู่ไกล
แต่ความสุขก็ดูเหมือนจะสั้นเหลือเกิน วันรุ่งขึ้น วันที่เธอต้องจากครอบครัวที่รักกลับไปทำงานแดนไกลอีกครั้ง ยามเย็นย่องเข้ามา แสงอาทิตย์ดูอ่อนแรง และเมื่อตะวันลับขอบฟ้า ก็เป็นเวลาที่เธอและฉันต้องกลับไปปฏิบัติหน้าที่ เวลาของครอบครัวที่ราวกับอยู่บนสวรรค์หมดลงแล้วสำหรับเธอ อีกไม่กี่ชั่วโมง โลกแห่งความเป็นจริงกำลังรอเธออยู่
เธอรีบจัดกระเป๋า พ่อของเธอก็มาช่วยอีกแรง พูดตรงๆนะ ตอนขามามันไม่ค่อยมีของอะไร ฉันสบายตัวมากเลย แต่ขากลับก็เดาไว้แล้วละ เธอทำให้ฉันดูเหมือนปลากระป๋องยังไงไม่รู้ ส่วนฉันเองรู้สึกเหมือนท้องอืดยังไงยังงั้น เธอแบกทั้งกระทะ ครก อีโต้ มีด ข้าวสาร ตัวฉันหนักอึ่ง แต่จะทำหน้าที่กระเป๋าลูกเรือให้ดีที่สุด
ก่อนออกจากบ้าน เธอลาทุกคน รวมทั้งเจ้าหมาสองตัวที่เธอรัก ยายของเธอหน้าเศร้า ส่วนแม่ของเธอแม้จะบอกว่าให้เข้มแข็งอย่าร้องไห้ แต่ตาของแม่เริ่มแดงแล้วก็มีน้ำตาคลอ เธอรีบยกฉันใส่รถแล้วขึ้นรถทันที คงเพราะกลัวจะหลุดร้องไห้ให้ทุกคนเห็นเป็นแน่ เมื่อพ่อขับรถออกจากบ้าน ระหว่างนั้น ฉันแอบเห็นเธอมองกระจกข้าง และสิ่งที่ทั้งเธอและฉันเห็นก็คือ ยายและแม่มองรถที่เธอนั่งจนพ้นรั้วบ้านไป แล้วก็ก้มหน้าเดินกลับเข้าบ้านอย่างหมดหวัง ต่อจากนี้ไป ไม่รู้อีกเมื่อไรจะได้เจอกันอีก ฉันเองก็แอบเห็นสีหน้าเศร้าๆของเจ้านายเหมือนกัน
หลังจากการล่ำลาแม่และยายที่บ้านแล้ว ก็ยังมีอีกบททดสอบทางใจสุดท้ายให้เจ้านายได้เผชิญ นั่นก็คือ การล่ำลาพ่อ เพราะหลังจากนี้แล้ว เธอจะต้องกลับไปอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้งเช่นเคย
หากฉันพูดได้ ฉันจะบอกเจ้านายว่า “อย่างน้อย เธอยังมีฉันนะ อย่าเศร้าใจไปเลย”
(ขากลับเมื่อถึงอาหรับแล้ว คนขับรถที่มายกฉันลงให้เจ้านายถึงกับบ่นว่า ทำไมฉันหนักแบบนี้ เจ้านายได้แต่ยิ้มๆ)
แก้ไขล่าสุดโดย
djsoloabs เมื่อ วันอาทิตย์ ก.ค. 25, 2010 11:37 pm, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง