
Life of Thai Crew: ไฟล์ทดมหมอน 24 ชั่วโมงในเมืองโคเปนเฮเกน
เรื่องและภาพโดย กำแหงหาญ
....................................
มาเมืองโคเปนเฮเกนครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ เพราะเรามีเวลาพักผ่อน ณ สถานีนี้น้อยลงหนึ่งวันหนึ่งคืน เหตุมันเริ่มจากวิกฤติการณ์น้ำมันแพง ฉุดให้เศรษฐกิจโลกดิ่งลงเหว ธุรกิจการบินที่มีน้ำมันเป็นค่าใช้จ่ายหลัก ต่างได้รับผลกระทบมากน้อยกันถ้วนหน้า สายการบินใดมีผู้บริหารมองการณ์ไกล ตระเตรียมรับมือเป็นอย่างดีกับปัจจัยเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็อาจบอบช้ำน้อยหน่อยและเอาตัวรอดได้ไม่ยาก ขณะที่บางสายการบินสายป่านสั้น แต่ดันมีผู้บริหารไม่เอาไหน ไม่เคยมองไกลพ้นหัวแม่ตีนตัวเอง เจองานเข้า-พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกแบบนี้ ก็อาจนำให้สายการบินนั้นๆ ม้วนเสื่อปิดกิจการได้ง่ายๆ
สายการบินระดับโลกที่ผมทำงานอยู่ก็หนีวิกฤติการณ์นี้ไปไม่พ้น มันทำให้เราซวนเซไปช่วงเวลาหนึ่ง แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจของผู้บริหารและพนักงาน เราก็ได้แต่หวังว่ามาตรการรัดเข็มขัดต่างๆ ที่นำออกมาใช้ในช่วงเวลานี้ จะทำให้สายการบินของเราดำเนินกิจการต่อไปได้อีกหลายปี (ให้ผมเกษียณไปก่อนเถอะ)
ที่อารัมภบทยืดยาวมิใช่อะไรอื่น เพียงผู้เขียนอยากบอกว่าวันชื่นคืนสุขหรือ The good old day ของลูกเรืออย่างในอดีตนั้นยากจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้ เที่ยวบินค้างหลายคืนตาม line station กลายเป็นอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ เพราะมาตรการลดค่าใช้จ่ายลำดับแรกที่บริษัทมักหยิบขึ้นมาพิจารณาคือการตัดงบในส่วนพนักงาน Front line โดยเฉพาะจำนวนวันพักของลูกเรือและนักบิน ณ สถานีปลายทาง ซึ่งเห็นเป็นตัวเลขกลมๆ ว่าช่วยประหยัดค่าโรงแรมให้บริษัทหลักร้อยล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว
เที่ยวบินไปโคเปนเฮเกนที่เพิ่งผ่านมาของผมก็เป็นหนึ่งในเที่ยวบินเป้าหมายของการลดวันพัก ... แน่นอน เมื่อวันพักน้อยลง เบี้ยเลี้ยงที่เราได้รับก็น้อยลงไปด้วย มาดูกันว่าลูกเรือ (บางคน) รับมืออย่างไรกับวันพักอันแสนสั้นและรายได้ที่ลดน้อยถอยลงอย่างนั้น
....................................
หลังจากตะลุมบอนกับผู้โดยสารเต็มลำมาเกือบ 12 ชั่วโมง...
เมื่อให้บริการอาหารเช้าแก่ผู้โดยสารเรียบร้อย เราจะมีเวลาเหลือประมาณสี่สิบห้านาทีก่อนเครื่องลงเพื่อเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ให้เข้าที่ หรือไม่ก็จัดการกับข้าวต้ม-อาหารมื้อเช้ายอดฮิตของลูกเรือที่ผมบรรจงอุ่น แต่ลูกเรือในเที่ยวบินนี้กลับเมิน
08.00 น.
...ก็เพราะทุกคนต่างนัดแนะอุ้มท้องไปกินอาหารเช้าฟรีที่โรงแรม ซึ่งมีปลาแซลมอนทอดกับข้าวเมล็ดสั้นแบบญี่ปุ่นเป็นตัวชูโรง การกินอาหารเช้าที่นี่นับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่แท้จริงของลูกเรือไทย

breakfast ของน้องปุ้มก็โคตรจะ healthy เลยจริงๆ จะอะไรขนาดนั้นแม่คุณ

ในขณะที่น้องเมย์.... พุงแกก็แค่นั้นจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนแม่คู๊นนนนนน
ในภาพจะเห็นน้องเมย์จัดอาหารเช้ามาเต็มจาน ผมเองก็ละเลียดกินปลาแซลมอนทอดชิ้นแล้วชิ้นเล่าเหมือนกลัวว่าพรุ่งนี้โลกจะแตก จนใกล้เวลาร้านอาหารปิดนั่นแหละจึงค่อยๆ อ้อยอิ่งขึ้นห้องพัก ครั้งไหนโหยจริงๆ อาจแอบหยิบไข่ต้ม 3-4 ฟองไปเคี้ยวเล่นๆ ก่อนนอนอีกด้วย ห้าห้า เอากับมันดิ...
เบี้ยเลี้ยงลดลงไปขนาดนี้ ผมอาจต้องฝืนใจนอน (แม่ง) ข้ามวันข้ามคืน เพราะนั่นจะประหยัดค่าอาหารมื้อเย็นได้อีกหนึ่งมื้อ ซึ่งก็ไม่มากไม่น้อย อาหารไทยตามสั่งหนึ่งจานและโค้กอีกหนึ่งขวดก็ราวๆ ห้าหกร้อยบาทเท่านั้น...
....................................
14.00 น.
แต่วันนี้ไม่... ม่อยหลับไปเพียง 3-4 ชั่วโมงผมก็รีบลืมตาตื่นตามเสียงนาฬิกาปลุก ด้วยมีนัดกับสองแอร์ ปุ้มและเมย์ ซึ่งอย่าว่าโง้นงี้เลย แม้อายุเธอทั้งสองจะล่วงเข้าสู่หลักสี่ แต่ความสดใสของเธอทั้งสองยังไม่ลดน้อยถอยลงไปเลย
ช่างตรงเวลาจริง... ลงมาก็เจอเธอทั้งสองนั่งรอทำปากหมุบหมิบให้พรผมอยู่ก่อนแล้ว (แหมแค่เลทสิบนาที ให้เวลาลุงแต่งหน้าแต่งตาบ้างสิโว้ย) เราต่างยกมือไหว้สวัสดีตามวัฒนธรรมแสร้งจริตเป็นครั้งที่ร้อย (เพิ่งจากกันไปไม่ถึงห้าชั่วโมงจะไหว้กันอีกทำไม)

ผมนำเธอทั้งคู่ไปร้านอาหารไทยในห้างสกาล่า ...อย่าเรียกว่าห้างเลยเพราะร้านค้าที่เคยคึกคักต่างแย่งกันเจ๊งปิดกิจการไปหมดแล้ว คงเหลือแต่ร้านอาหารไทยและร้านอาหารญวนตั้งประจันหน้ากันอยู่สองร้านเท่านั้น ว่ากันว่าข้าวซี่โครงหมูทอดที่นี่อร่อยนัก

สั่งไปไม่นานอาหารจานที่ว่าก็มาวางตรงหน้า น้องปุ้ยในภาพบ่นว่าเยอะแบบนี้จะกินหมดเหรอ แต่เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น... อาหารเต็มจานที่ว่าก็เหลือแค่เศษซากซี่โครงที่เธอแทะกันซะเกลี้ยง...

มาโคเปนครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนจริงๆ เพราะผมโชคดีมี ปุ้มและเมย์ แอร์รุ่นน้าสองคนที่รู้จักมักคุ้นกับผมเป็นอย่างดีอาสามาเป็นเพื่อนกินข้าว ความจริงผมไม่นิยมวิสาสะกับแอร์รุ่นนี้เท่าไหร่ ด้วยมักรู้ดีรู้ทัน และรู้ไปเสียทุกเรื่อง แต่ด้วยความเป็นเพื่อนร่วมอาชีพที่เห็นกันมาตั้งแต่เข้าทำงานใหม่ๆ จะให้ผมปฎิเสธความหวังดีของพวกเธออย่างไรได้

หมดธุระจากจานข้าวตรงหน้า เธอทั้งสองก็ต่างงัด catalogue โน่นนี่ออกมาประชันกัน

พร้อมกับล้วงกระเป๋านำเงินออกมานับ ...เพื่อที่จะพบว่า มันไม่เยอะเหมือนเมื่อก่อนหรอกวุ้ย
....................................
15.00 น.

ตามคาด... แม้เวลาจะน้อย แต่สัญชาติญาณการช้อปปิ้งของลูกเรือไทยไม่เคยเปลี่ยน แม้ไม่ได้ซื้อ แต่แค่ Window shopping ก็มีความสุข ผมจำต้องนำเธอทั้งสองเดินย่อยอาหารไปยังร้านนาฬิกาซึ่งขายให้ลูกเรือในราคาพิเศษ ความหวังที่จะไปเดินถ่ายรูปแถวท่าเรือ Nyhavn ต้องมีอันเป็นหมัน ด้วยเธอเล่นหายเข้าไปในร้านเกือบชั่วโมง ก่อนจะออกมาพร้อม Catalogue นาฬิกาโรเล็กซ์เพียงหนึ่งเล่มเล็กๆ
เธอบอกผมว่าเปอร์เดี้ยมลดลงเห็นๆ อย่างนี้ ซื้อโรเล็กซ์มือสองที่เล้งนาฬิกาก็ใช่ว่าจะเสียหน้าอะไรนัก
....................................
15.30 น.

ถ้าเป็นสมัยวันชื่นคืนสุขรับเบี้ยเลี้ยงกันเต็มกระเป๋าเหมือนเมื่อก่อน เราอาจซื้อของดีมีค่าไปฝากเพื่อนสนิทมิตรสหายทางบ้าน แต่ปัจจุบันแค่ซื้อโปสการ์ดเล็กๆ ใบละ 10 โครนติดไม้ติดมือไปฝากันก็ถือว่าเก๋ไก๋แล้ว
....................................
16.00 น.

หลุดออกมาจากย่านช้อปปิ้ง เราก็มาถึงลานกว้างหน้าศาลาว่าการเมือง ในหน้าร้อน บริเวณนี้จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและคณะแสดงกลางแจ้งที่เรียกความสนใจจากผู้ชมได้คึกคัก แต่แค่ลมหนาวแรกเข้ามาเยือน ดูเหมือนลานกว้างแห่งนี้จะเริ่มร้างคนแล้ว

เหลืองได้อีกนะเนี่ย
....................................
16.30 น.

ห้ามน้ำไม่ไหล ห้ามไฟไม่ให้มีควัน ห้ามอาทิตย์ ห้ามดวงจันทร์ หยุดแค่นั้นแล้วจึงค่อยมาห้ามมิให้แอร์ไทยช้อปปิ้ง แม้เวลาจะน้อย เปอร์เดี้ยมจะลด ซื้อโรเล็กซ์ไม่ได้ ซื้อกระเป๋าหลุยส์ไม่ไหว แต่น้องเมย์ก็ยังคว้าเสื้อยืด Zara ตัวล่ะเกือบหนึ่งพันบาทมาชูอวดผมจนได้ ดูเธอไม่พอใจเท่าไหร่เมื่อผมบอกว่าเคยเห็นเสื้อลายเดียวกันเด๊ะๆ แบบนี้ขายอยู่ในห้างแพลทตินั่มประตูน้ำในราคา 199 บาท
....................................
17.00 น.

พรุ่งนี้เรา Pick up แต่เช้า เดินเล่นได้แค่นี้ก็ถึงเวลากลับแยกย้ายกันพักผ่อน, Wine Party ที่ลูกเรือมารวมกลุ่มสนุกสนานเฮฮาข้ามคืนกลายเป็นความฝันวันเก่าไปซะแล้ว

ก็แค่เห็นราคาเบอร์เกอร์โง่ๆ อันละเกือบสองร้อยบาทเมย์ก็แทบลมจับ หรือนี่ถึงเวลาที่เราต้องประหยัดกันจริงๆ แล้วหรือ
....................................
ผมจะบอกยังไงดี แม้รายได้รวมต่อเดือนเราจะลดลงไปบ้าง แต่หากเราใช้ชีวิตถูกต้องไม่ฟุ้งเฟ้อ ผมก็ยังมั่นใจว่าเราจะผ่านช่วงเวลาอันวิกฤตินี้ไปได้ เพียงแต่เราอาจต้องปรับตัวมากขึ้นกับสิ่งที่เรากำลังเผชิญ ผมไม่ได้ตั้งใจเขียนเรื่องนี้เพื่อป่าวประกาศความเลวร้าย หรือความถอยหลังลงคลองของสายการบินใดๆ แต่หวังว่าเพื่อนๆ ลูกเรือจะไหวตัวกับอนาคตที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้เอาเงินใส่ไหฝังดินน่าจะปลอดภัยที่สุดแล้วในขณะนี้
ก็บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่ต่างชาติยังเป๋เจียนอยู่เจียนไป แล้วมนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเราจะมั่นใจในหลักประกันอะไรได้?
....................................
Life of Thai Crew: ไฟล์ทดมหมอน 24 ชั่วโมงในเมืองโคเปนเฮเกน
เรื่องและภาพโดย กำแหงหาญ