Death in Spring (1986) | Mercè Rodoreda
He was still alive, but only his own death kept him alive.
ความตายในฤดูใบไม้ผลิเปิดฉากในหมู่บ้านบนภูเขา สังคมที่มีพิธีกรรมเฉพาะเสมือนถูกครอบงำด้วยอำนาจที่มองไม่เห็น แต่ความที่ผู้เขียนเล่าเหมือนตำนานนิทาน การหยั่งรู้ล่วงหน้าถึงความหวาดกลัวจึงไม่มี
ผู้เล่าเรื่องเป็นหนุ่มน้อยวัย 14 ปี ชอบเดินเที่ยวตามพงไพร สายน้ำเชี่ยวกราดสอนให้เขาเรียนรู้รากกำเนิด การว่ายน้ำเป็นสิ่งที่ต้องฝึกให้ชำนาญ ทุกปีผู้กล้าจะถูกจับโยนลงน้ำให้ว่ายข้ามฝั่ง หากข้ามไม่พ้นก็จะโดนหินบาดจนไร้หน้า พิการหรือสิ้นชีวิตในที่สุด พอหมดฤดูหนาว คนในหมู่บ้านจะช่วยกันทาสีบ้านเป็นสีชมพู หญิงตั้งครรภ์ออกจากบ้านต้องผูกผ้าปิดตาเพื่อไม่ให้จ้องหน้าชายอื่น ไม่มีใครรู้ว่าทำไม กฎเกณท์เหล่านี้มาจากไหน เพียงแต่เป็นประเพณีสืบต่อกันมา
วันหนึ่งหนุ่มน้อยเห็นชายคนหนึ่งในป่า เขาแอบเดินตาม ชายคนนี้เอาขวานกับโกยกรีดรอยบากบนต้นไม้ เมื่อรอยแยกแตกออก ข้างในนั้นกลวง เขาร้องไห้น้ำตานอง ก่อนจะเดินเข้าไปในต้นไม้ ยางตามรอยบากผนึกตัวปิดสนิทอย่างรวดเร็ว หนุ่มน้อยตกใจตื่นตระหนกวิ่งหนีออกจากป่า เพราะชายที่เดินเข้าต้นไม้นั้นคือพ่อของเขา
ช่างตีเหล็กบอกว่าทุกคนมีต้นไม้ของตนเอง ตอนแรกเกิดทุกคนมีเหล็กแผ่นสลักชื่อและวงแหวนประจำตัว ซึ่งจะแขวนไว้ที่ต้นไม้ของแต่ละคน ทางเดินเข้าป่า มีขวานและโกยวางไว้ เมื่อถึงเวลาคน ๆ นั้นก็จะหยิบอุปกรณ์ดังกล่าวเดินเข้าป่า คนในหมู่บ้านรีบแห่มาที่เกิดเหตุ กรีดต้นไม้ออกแล้วเอาปูนกรอกใส่ปากจิตวิญญาณนั้น บรรดาเด็ก ๆ จะถูกขังไว้ในตู้ที่บ้าน มีช่องให้เห็นเพียงแววตาเพื่อจะได้ไม่เห็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ทำ
เมอร์เซ่ โรโดรีด้า นักเขียนชาวคาตาลันต้องหนีออกนอกประเทศในสมัยท่านผู้นำฟรังโก จอมเผด็จการแห่งสเปน ไม่แปลกอะไรหากมีใครตีความสังคมในหนังสือเล่มนี้จากสังคมที่เธอจากมา หนังสือตีพิมพ์หลังจากเธอเสียชีวิตสามปี งดงามทั้งคำพรรณาและท้องเรื่อง เพนกวินนำมาพิมพ์ใหม่ในซีรีย์นักเขียนยุโรป เป็นหนังสือที่ลืมไม่ลง หลงรักเลย
“When we emerged from behind the trunk and listened, there was nothing to be heard: only the breath of light and earth, and the air that dwelt on high.”