เรื่องสยองของแอร์สยาม
รูดการ์ด เซ็นชื่อที่หน้าโต๊ะ SV รับเอกสารเรียบร้อย …เราหนีบแฟ้มเอกสารปึกใหญ่รวบรวมใส่ไว้ใน Route Folder ที่มีรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับเที่ยวบินของเราในคืนนี้
ยังพอมีเวลา เราชงกาแฟร้อน ๆ หนึ่งถ้วย เข้าไปในห้องเตรียมงาน ทำงานเอกสาร assign ตำแหน่งให้ลูกเรือ
ก่อนถึงเวลา brief เล็กน้อย SV โทรมาแจ้งว่าเครื่อง delay 50 นาที …เซ็ง อีกสักพัก เห็นบนจอมอนิเตอร์แจ้งว่าเปลี่ยนจากเครื่อง B777ER เป็น B777-300 …ยิ่งเซ็งหนัก
บิน 10 กว่าชั่วโมงข้ามคืนเนี่ยนะ ทั้งไม่มีที่นอน crew rest ทั้ง seat ผู้โดยสาร EY ไม่มีจอหนังส่วนตัว เก้าอี้ก็เหมือนเครื่องทรมานนักโทษ คืนนี้ผู้โดยสารเอากรูตายแน่ …เฮ่อ!
…คืนทรมานผ่านพ้นไปด้วยความเหนื่อยล้าทั้งใจและกายตามคาด ลูกเรือพากันหมดสภาพจนนั่งสัปหงกบนรถไปโรงแรม ถ้ามีแรงฝันก็คงฝันถึงเตียงนุ่ม ๆ ผ้าห่มอุ่น ๆ บางคนอาจอยากนอนแช่น้ำอุ่นก่อนนอน ประมาณนี้ ไม่หนีกันเท่าไหร่
…ถึงโรงแรม ได้กุญแจห้อง รับเพอร์เดี้ยม แวะสั่งข้าวไทยที่ร้านเครื่องสำอางในโรงแรม แล้วต่างคนต่างแยกย้าย ห้องใครห้องมัน ไม่มีอารมณ์จะนัดใครออกไปไหนเลย ขอนอนเอาชีวิตรอดก่อน …เหนื่อยจริง ๆ
ห้องที่เราได้อยู่ไม่ไกลจากลิฟท์ ยังคิดในใจว่าโชคดีไม่ต้องลากกระเป๋าไปไกล มีน้องแอร์อยู่ห้องติด ๆ กันอีก 2 คน บ๊ายบายกันก่อนรูดการ์ดเปิดประตูห้อง
…แล้วอารมณ์ขุ่น ๆ ก็มาเยือน เมื่อพบว่าโซ่ double lock ที่ประตูห้องหายไปในลักษณะถูกงัด กรอบประตูไม้ด้านในหักแหว่งเป็นวงใหญ่ กรอบประตูด้านนอกระดับเดียวกันเยินจนนึกภาพออกว่ามันงัดกันลักษณะไหน โห…อะไรเนี่ย แต่เอาน่า ประตูยังมีที่หมุนล๊อคอีกชั้นตรงลูกบิด ง่วงขนาดนี้ไม่มีแรงไปต่อปากต่อคำขอเปลี่ยนห้อง อยู่ ๆ ไปเถอะ แต่สายตาปรือ ๆ ยังกวาดมองพรมรอบ ๆ ห้องว่ามีร่องรอยอะไรประหลาดหรือเปล่า อืมม.. พรมเรียบร้อยดีไม่มีเลอะเทอะ ไม่มีตัดปะ ok น่ะ
…เปิดกระเป๋า จัดข้าวของตามปรกติ เมื่อเดินเข้าห้องน้ำก็พบว่า ห้องน้ำกลิ่นไม่ดี กลิ่นไม่สะอาดเลย ประมาณมีกลิ่นฉี่ฉุน ๆ ปนกับน้ำยาล้างห้องน้ำ แถมมีกลิ่นตุ ๆ แบบท่อตัน ส้วมเต็ม เซ็งมาก …คิดในใจว่าโชคไม่ดีเลยเรา ได้ห้องห่วยมาก ทั้ง ๆ ที่โรงแรมเป็นโรงแรมชั้นดี ตอนนั้นรื้อของทั้งหมดออกจากกระเป๋าแล้ว เหนื่อยมากแล้ว ง่วงสุด ๆ แล้ว ทน ๆ อยู่ไปเถอะ แค่ไฟลท์รอบเตียงเดี๋ยวจมูกก็ชินกลิ่นไปเอง กลิ่นแบบนี้ใช่จะไม่เคยเจอ
ก็เรานอนโรงแรมเป็นอาชีพมาครึ่งชีวิตแล้วนี่นะ
…อาบน้ำแล้วเข้านอน หลับไปได้สองชั่วโมงกว่าก็มีคนมาเคาะประตูห้อง น้องคนไทยมาส่งข้าวน่ะ งัวเงียเปิดประตูรับข้าวกล่องกับน้ำส้มที่สั่งไว้ ทั้ง ๆ ที่ง่วงก็อดไม่ได้ที่จะเปิดชิมไปหลายคำ ก่อนจะล้มตัวลงนอนต่อแบบหลับสนิทเพราะท้องไม่โหวงเหมือนเมื่อมาถึงตอนแรก
…เที่ยงคืนกับสามสิบแปดนาทีพอดีที่ลืมตาตื่น เป็นนิสัยไปแล้วที่ลืมตาปุ๊บจะหันไปมองนาฬิกาข้างเตียง และคำนวณทันทีว่าเรานอนไปแล้วกี่ชั่วโมง
สบายแล้วเรา 8 ชั่วโมง ตาสว่าง สดชื่น ลืมความเหน็ดเหนื่อยของงานราวปลิดทิ้ง มันเป็นแบบนี้มาเป็นสิบ ๆ ปี เป็นงานที่สร้างความเบื่อ ๆ อยาก ๆ ขึ้นในใจอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เวลาเหนื่อย ๆ อดนอน เจอปัญหาทับถมก็เบื่อมาก พองานจบได้นอนพักเต็มที่ ได้เที่ยวเล่น ก็รักงานนี้ขึ้นมาจับใจ มีเสน่ห์ส่วนตัวจริง ๆ …อาชีพคนบนฟ้า
…นอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เสียงท้องร้องเรียกให้เราลุกขึ้นบิดขี้เกียจ กินข้าวต่อดีกว่า เดี๋ยวคงได้นั่งดูหนังหรือทำรูปในคอมจนเช้าแน่ เวลาที่นี่เร็วกว่าเมืองไทยหลายชั่วโมงอยู่ อืม ก็ได้เวลา dinner พอดี
…เข้าห้องน้ำคราวนี้นึกยังไงไม่รู้ปิดประตูห้องน้ำด้วย ทั้ง ๆ ที่ปกติไม่เคยปิด อยู่คนเดียวก็เดินเข้าเดินออกห้องน้ำตามสบาย แล้วพลันสายตาที่ตอนนี้ลืมตาตื่นเต็มที่ก็สะดุดเข้ากับรอยคราบอะไรสักอย่างบนผนัง มันเปรอะเปื้อนอยู่บนผนังและพื้นห้องน้ำหลังประตู ปูนขาวยาแนวกระเบื้องกลายเป็นสีน้ำตาลคล้ำ ๆ กระดำกระด่าง ในขณะที่บริเวณอื่นขาวสะอาดทั้งห้อง
เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็เห็นรอยแห้งกรังสีแดงคล้ำเกือบดำจุดเล็ก ๆ หลายจุด มันติดกรังเป็นแนวตามขอบกระเบื้องบางแห่งในระดับสูงกว่าศีรษะเราเล็กน้อย กลิ่นที่ปะทะจมูกตอนนั้น บอกตัวเองได้ทันทีว่ามันคือ “รอยเลือด” แน่ ๆ ไม่ต้องสงสัย

…กลืนน้ำลายด้วยความลำบากนิดนึง ก่อนจะพยายามตั้งสติและคิดในแง่ดีว่า อาจเป็นแค่คนหกล้มหัวฟาดผนังหัวแตก หรือคนมาพักทะเลาะกันเอาขวดเบียร์ฟาดหัวกันเล่น …รึยังไงดี ไม่เอาน่าคิดมากไปใย ระดับนี้แล้วไม่กลัว กินข้าวต่อดีกว่า
…ตักข้าวใส่ปากได้ 2 คำ ลำคอเกิดตีบตันขึ้นมาเฉย ๆ ใจมันคอยปะติดปะต่อเรื่องราวตั้งแต่ร่องรอยประตูห้องที่โดนงัด กลิ่นฉุน ๆ คาว ๆ เหมือนตอนที่เราพยายามซักคราบเลือดออกจากผ้า ใช่แน่ ๆ และการที่ห้องถูกงัดจากด้านนอกจนโซ่ขาด กรอบประตูหักทั้งยวงแบบนี้ แสดงว่าต้องมีคนไม่มีสติหรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือตาย? นอนรอความช่วยเหลืออยู่ในห้อง มือเริ่มสั่นขึ้นมาเฉย ๆ ข้าวที่กลืนเข้าไปได้สองคำเหมือนจะขย้อนขึ้นมา… อยู่ไม่ได้แล้วจริง ๆ
…เราโทรไปขอเปลี่ยนห้อง แป๊บเดียวที่อีกฝั่งรับสายแต่เหมือนจะนานมากมายในความรู้สึก บอกเค้าไปว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่สบายใจที่จะอยู่ห้องนี้ เดี๋ยวจะลงไปเอากุญแจเอง คือไม่สามารถนั่งอยู่ในห้องนี้โดยไม่รู้ว่าเค้าจะเอากุญแจห้องใหม่ขึ้นมาให้เมื่อไหร่ …รอไม่ได้แล้วจริง ๆ
…เป็นการแพ็คของด้วยความรวดเร็วที่สุดเท่าที่เคยทำ จับทุกอย่างโยนใส่กระเป๋าใหญ่ ของมีไม่มาก ก่อนอื่นเอาของใช้ในห้องน้ำออกมาทั้งหมดแล้วปิดประตูห้องน้ำ ถ้าปิดตายได้คงทำแล้ว แต่ตอนปิดกระเป๋าใหญ่น่ะสิ เกิดอะไรขึ้น ของก็ไม่มากมายอะไรทำไมปิดไม่ลง ปิดเท่าไหร่ไม่ลงล็อคเสียที มือเริ่มสั่นมากขึ้น ….ในที่สุดต้องขึ้นไปนั่งทับกระเป๋า ฝืนปิดมันจนได้ หันไปคว้ากระเป๋าสะพายโยนใส่กระเป๋าลาก กวาดตาดูรอบห้องอีกที ไม่ลืมอะไรแน่แล้ว ถึงลืมก็ไม่กลับมาเอาแล้ว…

…ตอนที่คว้าหูกระเป๋าใหญ่ให้ตั้งขึ้นเพื่อจะลากไปวางไว้ใกล้ ๆ ประตูห้อง ความรู้สึกตอนนั้นหลอนมาก ๆ มันเหมือนมีใครซักคนคอยดึงกระเป๋าไว้ไม่ให้ไป ติดอะไร? ยกไม่ขึ้น ฮือ ฮือ ไม่อยากมองว่ามีอะไรมารั้ง แต่เมื่อจำใจมอง ก็เห็นว่ากระเป๋ามันหนีบผ้าคลุมเตียงอยู่ เหอะ เหอะ น่ากลัวปนตลกเหมือนหนังผีไทยไม่มีผิด คราวนี้สิ พยายามเปิดกระเป๋าก็เปิดไม่ออก ก็เมื่อกี้ฝืนนั่งทับจนมันหนีบผ้าคลุมเตียงไว้แน่นออกอย่างนั้น นึกออกมะ แงะแทบตายกว่าจะออก มือไม้สั่นไปหมด …เฮ่อ!
…ลากถูลู่ถูกังลงลิฟท์ไปทั้งอย่างนั้น เราเล่าให้พนักงานหน้า front ฟังคร่าว ๆ ถึงลักษณะประตูห้อง กลิ่นไม่ดีในห้องน้ำและคราบเลือดที่เราเจอะเจอ เธอทำหน้าตกใจและรีบหาห้องใหม่ให้ สูงขึ้นไปอีกสี่ชั้น อยู่คนละวิง ไกลโพ้น ซึ่งเรายินดีที่จะเดินไกลแล้วคราวนี้ เธอบอกว่าจะ report case ของเราเพื่อไม่ให้ห้องนี้แก่แขกคนอื่นอีก …ก็ว่ากันไป
…ห้องใหม่แม้จะไกล แต่น่าอยู่กว่ากันเยอะ คิดในใจว่าทำไมห้องว่าง ๆ ก็มีเยอะแยะทำไมดันเอาห้องนั้นให้เรา แต่แม้ว่าห้องจะดูสบายยังไง ในใจลึก ๆ ก็ยังเยือก ๆ ทั้งที่เปิดไฟทุกดวงในห้องแล้วก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเท่าไหร่ ยังนอนนึกเล่น ๆ ว่านี่มัน crime scene หรือโรงแรมห้าดาวกันแน่ ….ฮือ ฮือ อยากกลับบ้าน จนฟ้าสว่างนั่นแหละถึงได้เปิดม่านนอนหลับตาลงได้อีกครั้ง
ที่กรุงเทพอีกสองวันต่อมา เรากลับมา search หาข่าว
….มีเหตุอาชญากรรมสะเทือนขวัญในห้องหมายเลข xxx ของโรงแรมนั้น…
หมายเหตุ : ภาพประกอบเพื่อความบันเทิงเท่านั้น