จากจักรพรรดิสู่สามัญชน (1964) | อั้ยชิง เจี่ยวหรอ ฟูอี้

review by Kukee

จากจักรพรรดิสู่สามัญชน (1964) | อั้ยชิง เจี่ยวหรอ ฟูอี้ แปลโดยยุพเรศ วินัยธร

“คน” เป็นคำที่ข้าพเจ้าได้เรียนอ่านเป็นคำแรกในหนังสืออักขระจีน แต่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้ซึ้งถึงความหมายของมันมาก่อนเลย

แม้ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ แต่ชีวิตลิขิตของฟูอี้ก็ถูกกำหนดด้วยน้ำมือคนอื่นเสมอ ทำให้เขากลายเป็นหุ่นเชิดสมบูรณ์แบบแห่งกาลสมัย หนังสือเล่มนี้เขียนโดยตัวเขาเองระหว่างติดคุกในฐานอาชญากรสงคราม เป็นคำสารภาพที่ซื่อสัตย์ ครบครันทางประวัติศาสตร์จากบทบาทของเขา

ฟูอี้ (หรือปูยี) เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายในราชวงศ์ชิงบนแผ่นดินจีน ขึ้นครองราชย์ปี 1908 ขณะอายุ 3 ปี จากการแต่งตั้งผู้สืบทอดอำนาจครั้งสุดท้ายของพระนางซูสีไทเฮาก่อนที่พระนางจะสิ้นพระชนม์ในสองวันถัดมา เขานั่งบังลังก์แบบไม่ได้ความ 4 ปี ก็เกิดการปฏิวัติปี 1912 ต้องสละราชสมบัติแต่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในวังต่อ เป็นจักรพรรดิไร้อำนาจ เป็นนกน้อยในกรงทองจนอายุสิบแปด

เพียงกำแพงกั้นผืนดินเดียวกันโลกข้างนอกช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว โอรสแห่งสวรรค์อยู่ในพระราชฐานชั้นใน หากรับรู้เรื่องราวภายนอกก็เพราะคนในวังเล่าให้ฟัง ความเป็นเด็กทำให้เขามัวแต่เล่น มีขันทีเป็นเพื่อน ป้อนน้ำป้อนข้าว แต่งตัว เล่านิทาน ทำทุกอย่างให้จักรพรรดิองค์น้อย ฟูอี้บอกว่าทุกอย่างรอบตัวเป็นสีเหลืองจนเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษมาจากสวรรค์ แตกต่างจากคนธรรมดาสามัญทั่วไป

ฟูอี้เรียนหนังสือว่าด้วยเรื่องราวบรรพบุรุษ แต่ไม่มีความรู้อื่นใดเกี่ยวกับประเทศตน ไม่เคยเรียนเลขหรือวิทยาศาสตร์ หากจะรู้เรื่องราวต่างประเทศก็มาจากหนังสือภาษาอังกฤษเล่มเดียวคือ “อลิซในดินแดนมหัศจรรย์” (ใครหนอช่างคิดเลือกเล่มนี้ให้)

ชีวิตในวังน่าทึ่งนักโดยเฉพาะอาหารการกิน อาหารจักรพรรดิมีเป็นร้อยจานแต่กินจริงไม่กี่จาน เป็นการจัดฉากให้แลดูสมเกียรติยศ ฟูอี้ค้นบันทึกความสิ้นเปลืองในปีที่สองของรัชกาล เจ้านายหกคน “บริโภคเนื้อ 3,960 ชั่ง (มากกว่าสองตัน) กินไก่และเป็ดอย่างละ 388 ตัวในหนึ่งเดือน ในจำนวนนี้ข้าพเจ้าคนเดียวซึ่งเป็นเด็ก 4 ขวบกินเนื้อ 810 ชั่ง ไก่และเป็ดอย่างละ 240 ตัว” ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายมหาศาลที่ต้องให้คนปรนนิบัติรับใช้ในวัง ไม่นับจำนวนที่ถูกยักยอก ทั้งหมดนี้ถูกผลาญไปเพื่อความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ

ชีวิตของฟูอี้ถูกโยงใยกับผลประโยชน์ เมื่อถูกขับไล่ออกจากวังในปี 1924 เขาอยู่ใต้การคุ้มครองของญี่ปุ่นเพราะกลัวรัฐบาลกกมินตั๋งกำจัด เป็นธรรมดาที่เจ้าตัวอยากฟื้นบังลังก์คืนความยิ่งใหญ่ให้ราชวงศ์เพราะยังหลงใหลในอำนาจจอมปลอม ญี่ปุ่นรุกรานครอบครองจีนทางตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งประเทศใหม่แมนจูกัวโดยให้ฟูอี้เป็นประมุธ (1931-1945) ก่อนจะตั้งเป็นจักรพรรดิใหม่แห่งราชวงศ์คังเต๊อะ ซึ่งก็ไร้อำนาจไร้อิสรภาพในอาณาเขตเล็กๆเหมือนเดิม เขาไม่รู้หรอกว่านโยบายสามเรียบ เผาเรียบ ปล้นเรียบ ฆ่าเรียบของญี่ปุ่นสร้างความทุกข์ยากแสนเข็ญให้ประชาชน ชีวิตที่คุ้นชินทำให้เขามัวแต่หวาดระแวงกลัวตาย จึงยอมทุกอย่างให้อยู่รอด

หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงคราม ฟูอี้ถูกจับขึ้นเครื่องบินไปอยู่โซเวียตห้าปี ก่อนกลับมาติดคุกในจีนฐานะอาชญากรสงครามสมัยประธานาธิบดีเหมาเจอตุง เริ่มต้นชีวิตคนธรรมดาสามัญในคุกที่เขาสาธยายว่า “ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมาข้าพเจ้าไม่เคยพับผ้าห่มเองเลย ที่นอนก็ไม่เคยทำ แม้แต่น้ำล้างหน้ายังไม่เคยเททิ้ง…”

ไม่แปลกอะไรหากช่วงหลังของหนังสือเหมือนหุ่นเชิดนโยบายคอมมิวนิสต์เพราะอวยรัฐบาลจีนเหลือเกิน แต่เขาก็ได้เรียนรู้ทุกสิ่งด้วยตัวเองและยอมรับอย่างไม่อายว่าตัวเองเคยขายชาติ จีนคืนความเป็นคนสามัญให้ฟูอี้และได้ประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญมาบันทึก อัตชีวประวัติเล่มนี้อ่านสนุกและมีสีสัน เพิ่มเติมรายละเอียดทางประวัติศาสตร์ให้หนัง The Last Emperor โดยบริบูรณ์

หมายเหตุ -รูปเล่มหนังสือดีงามโดยเฉพาะปก เวลาอ่านต้องพับด้านสีทองเข้าด้านในจนเหลือภาพขาวดำสามัญของฟูอี้ แปลดีอ่านไหลลื่น พบว่ายุพเรศ วินัยธร เคยแปลนิยายเรื่องกรุงเก่า รันทดและงดงามของยาสึนาริ คาวาบาตะและอีกหลายเล่ม ชมเสร็จต่อด้วยมาตรฐานพิลึกของหนังสือไทย ยังพิมพ์ผิดแม้ไม่มากจนควรใส่ใจ แต่คงดีกว่าถ้าสละมาตรฐานเช่นนี้เสีย